เพื่อเป็นการไม่กีดขวางการสัญจรผู้ร่วมใช้เส้นทาง ผู้ประสงค์ยืนเคารพธงชาติ กรุณายืนชิดขวาด้วยครับ :)
จากใจคนเดินถนน
technorati tags: pedestrian, street, city
เพื่อเป็นการไม่กีดขวางการสัญจรผู้ร่วมใช้เส้นทาง ผู้ประสงค์ยืนเคารพธงชาติ กรุณายืนชิดขวาด้วยครับ :)
จากใจคนเดินถนน
technorati tags: pedestrian, street, city
ปรับปรุง: 2009.08.22 @poakpong ได้ไปแจ้งที่ป้อมแล้ว (ซึ่งคราวนี้มีเจ้าหน้าที่อยู่) และทางเจ้าหน้าที่รับไปดำเนินการต่อแล้ว ...แต่ก็ยังมีประเด็น
บ่ายวันพฤหัสที่ผ่านมา รอข้ามถนนตรงแยกบางลำพู และพบว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ ที่จะรอ
อดไม่ไหว ขอถ่ายเก็บมาดูหน่อย โกรธ
ระหว่างถ่าย ก็ได้โอกาสเก็บภาพรถราที่ไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่น้อย วิ่งฝ่าทางม้าลายตลอดเวลา แม้ไฟคนข้ามจะเขียวอยู่ แม้จะมีคนกำลังข้ามอยู่
เมืองเป็นที่อยู่ของคน
คนก่อน รถทีหลัง
คืนถนนให้คนเดินเท้า!
Putting Pedestrians First
technorati tags: traffic light, pedestrain rights, Bangkok
เมื่อเจ้าหน้าที่ในโทรอนโตล้มแผนที่จะขยายช่องทางจักรยานในเมือง กลุ่มนักปั่นนิรนามจึงตัดสินใจทำสิ่งที่ทางเมืองไม่ทำ. ด้วยสีและอุปกรณ์ครบมือ พวกเขาทาสีช่องทางจักรยานเองบนถนน Bloor Street ถนนสำคัญสายหนึ่งของเมืองด้วยตัวเอง.
ภาพโดย Spacing Magazine (สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ CC by-nc-nd)
“ทางเมืองยืนยันมาตลอดหลายปี ว่าการทำเลนจักรยานบนถนนสายนี้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
“เรากล้าที่จะแตกต่าง”
พบกับกลุ่ม Urban Repairs Squad และไอเดียเปลี่ยนเมืองของคุณด้วยมือคุณเอง มีคู่มือด้วยนะ
มาเล่นกับกรุงเทพบ้างดีไหม ? :p อยากซ่อมอะไรกรุงเทพ ลองเสนอที่ IdeaBangkok.com
แนะนำบล็อก Urban Revival เกี่ยวกับการผังเมืองและวัฒนธรรมของผู้คนในเมือง
อัปเดต 2008.11.08: ถ้าเข้าไปดูรูปในบล็อก Urban Repairs Squad บางรูปบนผิวถนนจะเห็นเครื่องหมายอินธนู >> อยู่บนเครื่องหมายจักรยาน อันนั้นคือเครื่องหมายที่บอกว่า “ช่องทางนี้ใช้ร่วมกัน” (รถยนต์กับจักรยาน) — shared lane marking หรือ sharrow
[ ผ่าน GOOD ]
technorati tags: urban activism, DIY, bike lane
เชิญร่วมการบรรยายพิเศษ
“ปัญหาสังคมในเขตเมืองเก่า: กรณีศึกษากรุงโรม”
โดย ศ.ไมเคิล เฮิร์ซเฟลด์ (Michael Herzfeld) ภาควิชามานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม 2551 13:00-16:00 น.
ห้องประชุม 1 ชั้น 2 ตึกคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มธ. ศูนย์รังสิต
ไมเคิล เฮิร์ซเฟลด์ เป็นศาสตราจารย์มานุษยวิทยา และภัณฑารักษ์ชาติพันธุ์วิทยายุโรปประจำพิพิธภัณฑ์พีบอดี ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด, ที่ซึ่งเขาสอนมาตั้งแต่ ค.ศ. 1991. หัวข้อวิจัยที่สนใจได้แก่ ทฤษฎีสังคม, ประวัติศาสตร์ของมานุษยวิทยา, social poetics, การเมืองของประวัติศาสตร์, ยุโรป (โดยเฉพาะกรีซและอิตาลี) และประเทศไทย. สำหรับประเทศไทยไมเคิลมีผลงานเด่นคือการศึกษาชุมชนป้อมมหากาฬในกรุงเทพ.
technorati tags: Michael Herzfeld, Rome, old town
เวลานั่งรถไฟฟ้า นั่งรถไปไหนมาไหน มองเห็นตึกแถวใช้ประโยชน์ไม่เต็มที่เยอะแยะมากมายในกรุงเทพ
ตึกแถวต่าง ๆ น่าจะมีการใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่ากว่านี้ จะได้ไม่ต้องสร้างตึกใหม่ให้เปลืองทรัพยากร
ทำเป็น mixed use ซะ ใช้หลายประสงค์ ถือครองร่วมกันหลายคนหลายครอบครัวหรือเจ้าของตึกแบ่งเช่า
ชั้นล่างให้เช่าเป็นร้านค้า/สำนักงาน
ชั้นบน ๆ แบ่งชั้นให้แต่ละครอบครัวเช่า
ชั้นดาดฟ้าบนสุดใช้ร่วมกัน เป็นลานซักล้าง-ตากผ้า
หรือถ้าตึกข้างเคียงจะตกลงเปิดดาดฟ้าต่อกันก็ได้-ทำเป็นลานนั่งพักผ่อน/ทำกิจกรรม (ข้างล่างไม่มีที่)
ถ้าจะทำ ต้องปรับปรุงเรื่องประตูเข้าออก ทางขึ้นลง ให้สะดวกกับทุกฝ่าย
แบบนี้ ตึกแถวห้องหนึ่งอาจอยู่ได้ถึงสามสี่ครอบครัวเล็ก ๆ ตามลักษณะครอบครัวคนทำงานรุ่นใหม่ในเมือง
อีกเรื่องที่เกี่ยวข้อง ที่จะทำให้เรื่องข้างบนเป็นไปได้มากขึ้น คือ
ค่านิยมเรื่อง “เช่าบ้าน = ไม่มั่นคงในชีวิต”
น่าจะปรับเปลี่ยนเป็น “เช่าบ้าน = คล่องตัวสูง” มี mobility เคลื่อนย้ายสะดวก
ซึ่งน่าจะเหมาะกับลักษณะชีวิตคนทำงานรุ่นใหม่มากกว่า ที่ย้ายสถานที่ทำงานบ่อยครั้ง (ทั้งจากการย้ายองค์กร หรืออยู่ในองค์กรเดิมแต่ต้องเดินทางเปลี่ยนที่ทำงาน) ทั้งตอบสนองความต้องการที่จะมีบ้านอยู่ใกล้ที่ทำงาน เพื่อความสะดวก ลดค่าเดินทาง ประหยัดเวลา เพิ่มคุณภาพชีวิต (สามารถย้ายบ้านตามที่ทำงานได้สะดวก ไม่ต้องห่วงเรื่องซื้อขายบ้าน หรือทำสัญญาระยะยาว)
นอกจากนี้ ความคล่องตัว-ไม่ติดกับพื้นที่ น่าจะช่วยเรื่องการย้ายถิ่นฐาน/โยกย้ายบุคลากรที่ขาดแคลนในเขตนอกศูนย์กลาง (กรุงเทพและหัวเมืองใหญ่) เพิ่มโอกาสกระจายงาน กระจายความเจริญได้ด้วย — ไม่ทำให้เมืองหลวงหรือหัวเมืองมันโตเกินไป ซึ่งนำมาสู่ปัญหาการจัดการต่าง ๆ เช่นสาธารณูปโภคไม่เพียงพอ สร้างยังไงก็ไม่ทัน เช่นที่เชียงใหม่กำลังแย่อยู่ตอนนี้ (ไม่ต้องพูดถึงกรุงเทพ)
ไม่ใช่ว่า ก็ทรัพยากรบุคคลมันอยู่ในกรุงเทพ (หรือหัวเมือง) ย้ายเข้าออกไม่สะดวก บริษัทก็เลยต้องมาตั้งอยู่ในกรุงเทพ แล้วพอบริษัทต่าง ๆ มากระจุกอยู่ในกรุงเทพ คนข้างนอกก็ต้องย้ายเข้ามาเพิ่มอีก เพราะนอกกรุงเทพไม่ค่อยมีงาน ทรัพยากรบุคคลทั้งหลายก็เข้ามากระจุกอยู่ในกรุงเทพ บริษัทต่าง ๆ จะตั้งบริษัท จะขยายงาน ขยายสาขา ก็ต้องอยู่ในกรุงเทพอีกนั่นแหละ ไปที่อื่นมันไม่มีคน ก็วนไปเรื่อย ๆ เป็นงูกินหาง ไก่กับไข่
เรื่อง workforce mobility หรือความคล่องตัวในการเคลื่อนย้ายแรงงานนี้ เป็นนโยบายของสำคัญของการสร้างและรักษาความมั่งคงของสหภาพยุโรป ไม่ให้ความเจริญมันเหลื่อมล้ำ พอคนย้ายได้ง่าย งานก็ย้ายได้ง่ายด้วย ปลดล็อกงูกินหาง
เอกสาร Mobility in Europe [pdf]
โดย มูลนิธิยุโรปเพื่อการปรับปรุงสภาพการทำงานและการใช้ชีวิต
Eurofound - European Foundation for the Improvement of Living and Working Conditions
ความคล่องตัวในการเคลื่อนย้ายแรงงานนี้ เกี่ยวหลายเรื่อง แม้ที่เด่นเป็นข่าว มักจะเป็นเรื่องข้อกฎหมาย ข้อตกลงระหว่างประเทศ เช่นเรื่องกฎหมายคนเข้าเมือง กฎหมายแรงงาน แต่เรื่องสภาพแวดล้อม เรื่องการใช้ชีวิตของแรงงานก็สำคัญ ที่พัก (สัญญาขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ราคาพอรับไหว ไม่ผูกมัดเกิน) ระบบขนส่ง (เมือง-รอบนอก / งาน-ที่พัก) ภาษา (กรณีพูดต่างภาษาควรสื่อสารภาษากลางกันได้) วัฒนธรรม (ที่อดทดอดกลั้น เอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่คลั่งชาติ เปิดใจรับความแตกต่าง) คือแรงงานก็เป็นคนน่ะ นอกจากสภาพแวดล้อมในการทำงานดี ๆ แล้ว ก็อยากได้สภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตที่ดี ๆ เช่นกัน
สภาพที่ปราถนา เพื่อเมืองที่มีชีวิต live life :
ที่อยู่อาศัยย้ายเข้าออกคล่องตัว - ระบบขนส่งสะดวก - สื่อสารภาษากลางได้ - วัฒนธรรมเปิดกว้างรับความแตกต่าง
สองอันหลังสำหรับการจะเป็นเมืองระดับภูมิภาค/นานาชาติ
ที่จะให้เมืองไทยเป็นศูนย์กลางโน่นนี่ เป็น hub จะดันเมืองนั้นเมืองนี้เป็นเมืองระดับภูมิภาค ระดับนานาชาติ แต่ทุกอย่างมันก็ต้องอาศัยคนด้วย ทั้งคนภายในประเทศ ภายนอกประเทศ จะเป็น hub แต่เขาเดินทางเข้ามาทำงาน/ใช้ชีวิตไม่สะดวก ใครเขาจะอยากมา แล้วจะเป็น hub ได้ยังไง ? จะมีเมืองศูนย์กลางหลาย ๆ เมืองได้ยังไง ? (แนวคิด mobility นี้ไม่ได้ปฏิเสธเมืองศูนย์กลาง แต่ปฏิเสธการมีศูนย์กลางแต่ที่เดียว อะไร ๆ ก็อยู่ในเมืองนี้ - เช่นกรณีกรุงเทพ)
ในแง่สิทธิโดยทั่วไป-ไม่ได้เจาะจงเรื่องแรงงาน เรื่อง mobility นี้เกี่ยวกับ สิทธิในการเดินทาง/เสรีภาพในการเคลื่อนย้าย mobility rights / rights to travel / freedom of movement
เฮ้ย เริ่มจากตึกแถว มาจบที่เรื่องสิทธิได้ไง
ย้อนกลับไปใหม่ คิดว่า “เช่าบ้าน = คล่องตัวสูง” ไหม ?
กลับไปทำงานต่อดีกว่า
ปรับปรุง 2008.07.04: เพิ่มเรื่อง cosmopolitan
technorati tags: decentralization, labor mobility, mobility, housing, urban planning
งงไปเลย ตลาดรถไฟ! ... emergence, innovative land use, intensively-shared space
[ ผ่าน ThaiBB ]
ช่วงนี้เปื่อยอยู่ครับ เป็นหวัด ไข้ ไอ
เปิดคอมตอบอะไรได้ก๊อก ๆ แก๊ก ๆ แต่ทำงานยาว ๆ ไม่ได้เลย ปวดหัว
ไปไหนมาไหน ก็ดูจะมีคนป่วยเยอะเหมือนกัน ไอค๊อกแค๊ก
เป็นตั้งแต่กลับจากฮ่องกง (ไปเที่ยวปีใหม่กับที่บ้าน) ไม่รู้จะเป็นหวัดนกรึเปล่า ฮี่
ตอนอยู่ที่นั่น เห็นคนใส่ผ้าปิดปากเดินไปเดินมา ตอนแรกเราคิดว่าเขาคงใส่เพราะกลัวติดหวัดจากคนอื่น ฮ่องกงมันเสี่ยง เคยระบาด
พี่สาวบอก ไม่ใช่ เขาใส่เพราะเขากลัวจะเอาหวัดไปติดคนอื่นตะหาก
เอ้า เหรอ เราเพิ่งรู้
แล้วก็นึกได้ว่า ตอนไปงานประชุม SNLP 2007 ก็มีคนญี่ปุ่นคนนึงใส่เหมือนกัน ตอนแรกก็นึกว่าอะไร อ๋อ เป็นหวัด วันที่สองหายดีก็ไม่ใส่แล้ว
เป็นเรื่องที่ดีแฮะ ในใจคิดตอนที่คุยกับพี่สาว
แต่ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมาใส่เองในเวลาไม่นานหลังจากนั้น
กลับมาใหม่ ๆ ก็แค่ครั่นเนื้อครั่นตัวเฉย ๆ สักพักเริ่มปวดหัว มีน้ำมูก ไม่กี่วันก็เริ่มไอ
พอไอไปได้วันสองวัน ก็เลยตัดสินใจ ไปเซเว่น ซื้อผ้าปิดปากมาใช้บ้าง
กลัวคนใกล้ตัวติดน่ะ พ่อนี่ก็ไออยู่ ไม่รู้ติดจากผมไปรึเปล่า
วันแรกที่ใช้ก็เขิน ๆ ไม่เคยทำ แต่ตอนนี้เฉย ๆ ละ ที่เพิ่มขึ้นมาน่าจะเป็นเรื่องตอบคำถามบางคนที่เจอมากกว่า ว่าใส่ทำไม อย่างวันนี้ที่ประชุม Thai Studies ผู้นำเสนอก็แซวขำ ๆ (ประมาณว่า “ผมรู้สึกแปลก ๆ มีคนใส่หน้ากากตรงนั้น มันเหมือนเค้ารู้อะไรที่ผมไม่รู้” - -")
ไปนอนดีกว่า
(งานอะไรที่ค้าง ๆ อยู่ จะทยอย ๆ ส่งไปนะคร้าบ)
ใช้อินเทอร์เน็ตยามอยู่นอกบ้าน
ต้องตรวจสอบรุ่นโทรศัพท์/อุปกรณ์ด้วย ว่ารองรับหรือไม่
หรือวิ่งหาสัญญาณ Wi-Fi ฟรี :P
ใครเคยใช้บริการอันไหน เจ้าไหน ช่วยเล่าประสบการณ์ทีครับ :)
updated 2007.06.16: เพิ่มแพ็คเกจ Cyber SIM ของ True (ใช้ได้ทั้ง GPRS, Wi-Fi, และ Dial-Up เอาหมดเลย)
เห็นเล่มนี้ Alternative (Post) Modernity: An Asia Perspective แล้วก็นึกถึงเล่มนี้ Pet Architecture Guide Book ไปได้มาจากงาน Talking Cities เมื่อปีที่แล้ว
มันเป็นคนละเรื่องกันนะ แต่ที่เกี่ยวกันก็คือ มันเป็นเรื่องในเมือง และเป็นเรื่อง.. ความที่มันเป็นอย่างนั้นอยู่เอง ..จะเรียกว่าความไร้ระเบียบมันก็ อาจจะใช่ แต่เรียกว่า การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม น่าจะเหมาะกว่า
Pet Architecture นี่มันเป็น พวกอาคารที่โผล่ขึ้นมาในที่ที่ไม่น่าจะสร้างอะไรได้ ทั้งในแง่ขนาดหรือรูปร่างของพื้นที่ หรือข้อจำกัดอื่น - แต่มันก็ยัง(หน้าด้าน)โผล่ขึ้นมา
เมื่อครั้งงาน Berlin-Tokyo / Tokyo-Berlin ที่ Neue Nationalgalerie เบอร์ลิน ก็มีเอา Pet มาแสดงในโถงใหญ่ด้านบน เสียดายที่ไม่ได้ลองเดินเข้า คนมันเยอะมาก ก็เลยไปดูอย่างอื่นก่อน ปรากฏว่าดูไม่ทัน - -" เยอะมาก (คุ้มดี)
แม้ว่าการเริ่มต้นศึกษาเรื่องนี้ จะเริ่มในญี่ปุ่น แต่ใช่ว่าที่อื่นในโลกจะไม่มี มีทั้งนั้นแหละครับ อย่างกรุงเทพนี่ก็เยอะแยะไป ตามซอกตามซอย หรือหัวมุมถนน - ดูรูป 1, ดูรูป 2, ดูรูป 3,
anpanpon พูดถึง Pet Architecture และ Narrow Architecture
technorati tags: architecture
จากรีวิวที่ I am what I am
แต่ถึงอย่างไรกลุ่มสถาปนิกและนักคิดจำนวนหนึ่ง ได้พยายามชี้ให้เห็นคุณค่าการดำรงอยู่ของความหลากหลาย ความไร้ระเบียบและความแออัด อันเป็นส่วนหนึ่งและสเน่ห์อย่างหนึ่งของภาวะความเป็นเมือง หนึ่งในกลุ่มดังกล่าว วิลเลี่ยม ลิม ดูเหมือนจะเป็นผู้หนึ่งที่มีความรู้ความเข้าใจ และเชี่ยวชาญในความเป็นเมืองของเอเชียโดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะถิ่นพำนักของเขา (สิงคโปร์) ในหนังสือ (โพสต์)โมเดิร์นทางเลือกมุมมองของเอเชีย (Alternative (Post) Modernity: An Asia Perspective) ของเขา ดู เหมือนจะเป็นการรวบรวมงานเขียนและปาฐกถาที่มุ่งให้คุณค่าในการวิเคราะห์ ความเป็นเมือง สถาปัตยกรรมเมือง และความไร้ระเบียบที่ดำรงอยู่ในเมือง ตลอดจนการกดทับของผังเมืองสมัยใหม่ต่อความไร้ระเบียบในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ลิมได้ชี้ให้เห็นถึงการมองความหลากหลายที่เกิดขึ้นในพื้นที่ของเมือง ไม่ว่าจะเป็นผู้คน กิจกรรมทางสังคม และวิถีชีวิตที่มีความแตกต่างกันออกไป ในความคิดของเขาความไร้ระเบียบ ไร้กฏเกณฑ์ และแออัดของสถาปัตยกรรมและผังเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มิใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ หรือเป็นสิ่งที่สมควรปิดบัง กดทับและเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด หากแต่ความไร้ระเบียบดังกล่าวกลับเป็นสิ่งที่บ่งบอกที่อัตลักษณ์และ สเน่ห์พิเศษของเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สถาปัตยกรรมเมืองแบบสมัยใหม่มีส่วนในกระบวนการกดทับ ปิดบังสภาพอันไร้ระเบียบของเมืองเดิม
“การคำนึงถึงถนนและอาคารที่มีอยู่เดิมทำให้สิ่งก่อสร้างที่เกิดขึ้นใหม่นั้นคู่ขนานไปกับถนนเส้นหลัก ในขณะที่สภาพเดิมของเมืองและพื้นที่ด้านหลังของสิ่งก่อสร้างใหม่นั้นถูกทิ้งไว้โดยไม่เปลี่ยนแปลง สภาพสังคมเช่นที่เคยผนวกกับความทรงจำและสิ่งก่อสร้างของอดีตถูกคงไว้เบื้องหลังของการพัฒนาสมัยใหม่”
อ่านอีกรีวิวที่ Quarterly Literary Review Singapore (ภาษาอังกฤษ)
รายละเอียดหนังสือ, การสั่งซื้อ (คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มธ.)
หนังสือที่เกี่ยวข้องกับสถาปัตยกรรม หลังสมัยใหม่ เมืองเอเชีย และสิงคโปร์ โดย วิลเลียม ลิม
[ผ่าน I am what I am]
ต่อเนื่อง: Pet Architecture
technorati tags: architecture, Asia, postmodern
The Cloud Room — Hey Now Now
(งง วีดิโอไม่ขึ้นอ่ะ — link to YouTube)
Hey now now, they'll find you when you're sleeping now now
they'll reach in and grab what you're dreamin' now now
cut it up and slip it back in, and I know, and I know, and I know it
Hey now now, the smallest things are crushing me now
the crush crush crush is so comforting now
did the earth just slam in the sun, and I know, and I know, and I know it
Won't undo their past by walking and talking backwards
Hey now now, we're goin' down down
and we ride the bus there and pay the bus fare
or we find a new reason, a new way of living
and we breathe it in and try to dream again
...
(เพลงโฆษณาเป็ปซี่ ชุดที่กำลังออกอากาศอยู่ตอนนี้, ได้มาจาก memento69)
แม้จะต้องแบ่งมือไปหยิบขนม ต้องแบ่งตาไว้สอดส่องร้านไอติม
แต่ anpanpon ยังบริหารเวลาของอวัยวะไว้มาถ่ายรูปได้บ้าง น่าตกใจจริง ๆ
ภาพและเรื่อง(บนหัวภาพ) ว่าด้วย เมืองกรุง ท้องถนน และคนกรุงเทพ
กาแฟดำ : 2550...สิ้นสุดของความ"ไร้เดียงสา"ของคนกรุง
พูดอีกอย่างก็คือ พร้อมกับการมาถึงของปีกุน 2550 คนไทยทุกคนจะต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติต่อชีวิตใหม่ และต้องพร้อมที่จะดำรงชีวิตเหมือนคนในหลายๆ เมืองใหญ่ ที่ต้องมีความเป็นนักสังเกต, มีความตื่นตัว และไวต่อข่าวสาร...ตื่นตัวแต่ไม่ตื่นตระหนกจะกลายเป็นหลักปฏิบัติของชีวิต ประจำวันของคนกรุง
ทุกคนต้องยอมรับผิดกันคนละส่วน เพราะเราได้ปล่อยให้สังคมไทยก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความแตกแยกที่ต่างฝ่ายต่าง ใช้ความรุนแรงและการข่มขู่คุกคาม เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองแทนการปรองดองและสมานฉันท์, แทนการมองประโยชน์ภาพรวมเป็นหลัก และปรับผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของส่วนรวม
ปากพูดว่า "สมานฉันท์" แต่พฤติกรรมยังสะท้อนความเคียดแค้นชิงชัง
ปากพร่ำคำว่า "น้ำใจนักกีฬา" แต่ใจยังร่ำหาแต่ "ชัยชนะบนเงื่อนไขของข้าฯ"
น่าเศร้า, น่าสลด, น่ารันทด, และน่าเสียใจ แต่ก็เป็นเส้นทางที่คนไทยหลายๆ กลุ่ม ได้ตัดสินใจกำหนดเส้นทางนี้ให้คนในสังคม
คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องและพัวพันกับผลประโยชน์เช่นนั้นโดยตรงอย่างพวกเรา ก็ได้แต่ถามเสียงดังขึ้นทุกวันว่า "ทำไม, ทำไม และทำไม?"
ใช่! ทำไม ทำไม และ ทำไม !?
ทำไมวันนี้ผมต้องเดินจากตึกศรีจุลทรัพย์กลับบ้าน ?
ก็เพราะตำรวจเค้าต้องปิดถนน เพราะว่าคนโบ๊เบ๊เค้าทะเลาะกัน ไงล่ะ
แท็กซี่เค้าตรงไปต่อไม่ได้ รถติดรอบด้าน เลยทิ้งผมกับแม่ไว้ตรงนั้นล่ะ จะเอาไงล่ะ ก็ต้องเดินกลับสิ นั่นแหละ ทำไม
กทม.เค้าไล่ที่ ไม่ให้ขายของบนทางเท้า
พวก “ผู้เดือดร้อน” (?) ก็เลยออกมาประท้วงกัน
มีการขว้างปาสิ่งของ ชุมนุมปิดถนน “ขอความเป็นธรรม” (?)
เออ แต่อย่างผมจะไปขอความเป็นธรรมจากไหนล่ะ เมื่อยนะเนี่ย ไม่ใช่ใกล้ ๆ แม่ผมก็ใช่ว่าจะปึ๋งปั๋ง
ขายของบนทางเท้า ทางเท้าสร้างด้วยภาษีใครนะ ? คนขาย หรือคนทั้งกรุงเทพ (หรือทั้งประเทศ?)
แล้วแผงลอยพวกนั้น จดทะเบียนการค้ามั๊ยนะ ? เสียภาษีเต็มมั๊ยนะ ? เอ๊ะ แล้วกำไรไปอยู่ที่ใครนะ ?
เค้าบอกว่าเค้าจ่ายค่าเช่าแผงเป็นแสน เอ๊ะ ที่หลวงนี่นะ แล้วเงินไปอยู่ที่ไหนนะ ? ... กลับมาพัฒนากรุงเทพมั๊ยนะ ? หรือเอาไปพัฒนาความเป็นอยู่ของผู้มีอิทธิพล ? (ให้พวกมันกลับมารังแกพวกเราอีกนี่นะ ?)
ขายของบนทางเท้า วางของส่งของบนถนนสองเลน รถเข็นขนของข้ามไปมาในทุกเลน รถติดบนถนน เอ๊ะ ถนนใครนะ ? เอ๊ะ ใครเสียเวลานะ ? เอ๊ะ ค่าน้ำมันใครนะ ?
(บอกไว้ตรงนี้ว่า ผมเห็นด้วยว่า เราควรมีพื้นที่ให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้สร้างตัว แต่กรณีแผงตรงหน้าตลาดโบ๊เบ๊นี่ ไม่ใช่รายย่อยล่ะครับ ค่าเช่าขนาดนี้ — แล้วถ้าจะให้เป็นพื้นที่ได้สร้างตัวจริง ก็ควรจะมีระบบหมุนเวียน ขายได้ไม่เกินกี่เดือนก็ว่าไป แล้วให้รายใหม่เข้ามามั่ง แบ่ง ๆ กัน)
สามวันก่อน ไฟเพิ่งไหม้ตลาดโบ๊เบ๊ วอดไปครึ่งตลาด
การดับเพลิงเป็นไปอย่างไม่เต็มที่ มีแผงลอยขวางอยู่ ... บ้านใครนะ ตึกใครนะ ? .. ใช่บ้านคนที่ขายแผงลอยมั๊ยนะ ? อ้าว ไม่ใช่เหรอนะ ?
เคยสุขสบายบนความเดือดร้อนของคนอื่น ... พอหมดสบาย ก็จะร้องขอความเป็นธรรมให้สบายต่อ ... คิดได้ยังไงนะ ?
มือยาวก็สาวเอา เอาแต่ได้ คิดถึงแต่ตัวเอง ผิดกฎหมายไม่เป็นไร ยัดเงินได้ ขอฉันก่อน ... สอนลูกให้รวย สินะ ? :)
หลังจากหายตระหนกในช่วงเย็นย่ำของคืนวันสุกดิบแล้ว บางคนส่งสารถึงผมบอกว่า ที่เราปล่อยให้บ้านเมืองหล่นลงเหวแห่งความรุนแรงเช่นนี้ ก็เพราะเราต่างไม่เคยคิดพึ่งพาตัวเอง หวังพึ่งแต่เพียงผู้มีอำนาจพิเศษมาช่วย ทำให้คนไทยไม่เคยยอมเผชิญและวิเคราะห์ปัญหาที่ต้องเจออย่างจริงจังและตรงไป ตรงมา
เราคอยจะพึ่งแต่ผู้มีอิทธิพล ผู้มีอำนาจ ผู้มีบารมี เพื่อจะให้คนเหล่านั้นคุ้มหัวเรา ไปเบ่งกับคนที่ด้อยกว่า เพื่อเราจะได้หาประโยชน์ ... แต่พอถึงวันหนึ่ง ที่เค้าไม่คุ้มหัวเรา จะด้วยขัดผลประโยชน์หรือจ่ายไม่ไหวก็ตามแต่ เราก็จะวิ่งไปหาผู้มีบารมีกว่า ๆ ๆ เป็นทอด ๆ ไป ...
ความขัดแย้งที่เกิดในสังคมวันนี้ (และนั่นคือที่มาของการโยนระเบิดใส่กันแทนการถกกันด้วยเหตุผลแห่งความถูก ต้องชอบธรรม) เกิดจากการที่ฝ่ายหนึ่งเชื่อในอำนาจเบ็ดเสร็จของด้านหนึ่ง และอีกฝ่ายหนึ่งใช้ความเบ็ดเสร็จของอำนาจอีกด้านหนึ่งมาต่อกรกัน โดยที่ "ภาคส่วนประชาชน" แท้ๆ ไม่ได้มีบทบาทขับเคลื่อน เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาของสังคมอย่างเป็นระบบเลยแม้แต่น้อย
... ต่อเมื่อไม่รู้จะวิ่งไปหาผู้มีบารมีไหนแล้ว หมดหนทาง เราก็จะวิ่งกลับมาหา “ประชาชน” บอกว่าเราเป็นพวกเขานะ (หรือ “พวกแกต้องเป็นพวกฉันนะ”) บอกว่าเราเป็นพี่น้องร่วมชาติกันนะ ต้องสู้ด้วยกันนะ เราทุกคนเท่าเทียมกันนะ
“ก็แล้วตอนพวกพี่ ๆ อยู่สุขสบายกัน เอาเปรียบผมสารพัด เคยนับผมเป็นญาติไหมครับ ?”
ถ้าโดนแบบนี้กับตัวเองเมื่อไหร่ ก็คงร้อง
อย่าให้มีงั้นเลยนะ นะ
technorati tags: life, politics, traffic jam
เราคนไทยมีแนวโน้มที่จะใช้อำนาจควบคุมกันและกันอยู่เสมอ ด้วยการ ‘สั่ง’ อาทิ สั่งไม่ให้ดื่มเหล้าก่อนอายุ 25 ปี สั่งไม่ให้เด็กผู้หญิงมีเซ็กส์ก่อนวัยอันควร (ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ ก็ไม่รู้ว่า ‘ควร’ คือเมื่อไหร่) และสั่งอื่น ๆ อีกมากมายเพื่อให้สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘เด็ก’ อยู่ในรีตในรอย ซึ่งก็คืออยู่ในการควบคุมของเราอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
แต่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘เด็ก’ โง่และขาดไร้ซึ่งวุฒิภาวะถึงขนาดนั้นเลยเชียวหรือ ?
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คำถามที่ต้องย้อนถามกันหนัก ๆ ก็คือ แล้วพวกเขาเป็นผลผลิตของใคร...ของสังคมแบบไหน,
ของเมืองแบบไหน ?
ในเมืองที่ไม่มีพิพิธภัณฑ์ชั้นดี ไม่มีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางเมืองที่ไม่มีรั้วกั้น ไม่มีหอศิลป์ที่ดี ไม่มีกิจกรรมที่ไม่ต้องใช้เงินซื้อ ไม่มีทางเลือกอื่นใดให้เด็ก ๆ นอกจากการไปเดินห้างและเที่ยวกลางคืน คุณคิดว่าเด็ก ๆ ในเมืองนั้นจะใช้ชีวิตแบบไหน
...
ในเมื่อเมืองไม่มีสิ่งเหล่านี้ให้พวกเขาเลย
พวกเขาก็ต้องนัดกันไปบริโภค ดื่ม แดก ดริงค์ แล้วก็จบลงบนเตียงด้วยเซ็กส์ที่น่าเบื่อกับคู่ที่น่าเบื่อ (เพราะขาดไร้ซึ่งวุฒิภาวะ และปัญญาพอ ๆ กันไปหมดทั้งเมือง) จนต้องตระเวนหาคู่ใหม่ไปเรื่อย ๆ ทุกคืน ๆ
แล้วเราก็ ‘บังอาจ’ ไปห้ามพวกเขาดื่มแอลกอฮอล์
ถ้าไม่มีแอลกอฮอล์ อะไรจะบดบังสติ ทำให้พวกเขามึนเมา และมองเห็นความงามในตัวคู่ที่กำลังคั่วอยู่ได้เล่า
...
จาก เรื่องของเด็ก ปมของผู้ใหญ่ โดย โตมร ศุขปรีชา นิตยสาร way ฉบับที่ 2, พฤศจิกายน 2549, ปก “พลังของเครื่องแบบ”
อ่านเรื่องนี้ แล้วผมนึกถึงอย่างน้อยสองอย่าง
คือ
หนึ่ง ความขาดแคลนพื้นที่พักผ่อนเรียนรู้ทางธรรมชาติและทางวัฒนธรรมของคนเมือง ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว มันยังพอมีอยู่บ้าง ตามซอกตามหลืบ ตามกำลังของผู้ที่มีใจรักจะผลักดัน เพียงแต่เราอาจจะไม่ค่อยได้ข่าวคราวอะไรนัก เพราะพวกเขาไม่มีกำลังประชาสัมพันธ์ (ถ้าใครสนใจงานแสดงศิลปะ ให้สมัครปฏิทินศิลปะ ThaiArtCal ไว้เลย ดูตัวอย่างด้านขวา มี feed และ iCal ด้วย)
กับ
สอง วัฒนธรรมไข่ในหิน คุณพ่อรู้ดี ห้ามโน่นห้ามนี่ ไอ้นั่นไม่ดี ไอ้นี่ไม่ควร ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้นะ ตลอดเวลา (ดู บทสัมภาษณ์ ดร.เกษม เพ็ญภินันท์ ในนั้นมีพูดถึงการสอนเรื่องศีลของคนไทย)
ก็ไม่รู้ว่า เปลี่ยนคณะปกครอง จาก คุณพ่อรู้ดีฉบับพลเรือน มาเป็น คุณพ่อรู้ดีฉบับทหาร/ข้าราชการ และจะช่วยให้ ประชาชน/พลเมือง/ไพร่ฟ้า/ข้าแผ่นดิน อย่างเรา ๆ มีพื้นที่พักผ่อนเรียนรู้ทางธรรมชาติและทางวัฒนธรรม เพิ่มขึ้นซักเท่าไร นี่ยังไม่ต้องพูดถึงพื้นที่แสดงความคิดเห็นอย่างเสรีหรอกนะ
tags: space | recreation | children | teenager
เรื่องของคนเหงาอีกแล้ว ให้ตายสิ
คนใกล้ตัวอย่างน้อยสองคน เคยพูดในโอกาสต่างกัน ว่า “กรุงเทพมันเหงา”
มองถนนโล่ง ๆ หน้าสยามสแควร์ตอนสี่ทุ่ม
พิจารณาแล้วว่า จริง
มันไม่ใช่เรื่องว่า รอบ ๆ ตัว ไม่มีหมาเดินซักตัว
แต่เป็น “ภาวะความรู้สึกที่อยากมีใครอยู่ด้วย”
แต่ก็ไม่รู้ว่ากรุงเทพ และ “หมานคร” ทั้งหลาย มีเคมีอะไร ที่ทำให้ผู้คนเกิดภาวะนั้นได้ถี่เหลือเกิน
หรือด้วยจังหวะของเมืองที่มันเร่ง เร็ว
เราเลยไม่มีโอกาสได้นึกถึงคนอื่นเท่าไหร่นักในช่วงเวลาปกติ
กู กู กู กู กู กู และ กู
และทันใดที่จังหวะผ่อน พอเริ่มจะนึกถึงคนอื่นได้ มันก็ตูมออกมา อย่างอดอยาก
(บางทีเพื่อจะพบว่า คนที่เราคิดถึง ยังอยู่ในจังหวะ กู กู กู กู กู อยู่ .. ก็เศร้าไป)
เอาบล็อกเหงา ๆ ไปอ่าน
“การมีแฟนของคนสมัยนี้ มันก็แค่การบริโภคร่วมกัน การหาโปรแกรมทำด้วยกันในวันเสาร์อาทิตย์ หรือการผ่านพ้นช่วงเทศกาลต่างๆไปด้วยกัน”
— buiberry's เบเบ๋
กับ
The Aesthetics of Loneliness
— ผมล่ะโคตรชอบชื่อบล็อกเค้าเลย ใช่ ในความเหงานั้นมีความงาม และเราควรจะเหงาอย่างสวยงามได้ใช่มั๊ยล่ะ ?
เพลงเพราะ ๆ หนังดี ๆ เยอะแยะ ก็มาจากความเหงานิ
อยู่กับมัน! (ให้ได้ ถ้าจำเป็น)
Sometimes I feel
Like I don't have a partner
Sometimes I feel
Like my only friend
Is the city I live in
The city of Angels
Lonely as I am
Together we cry
Red Hot Chili Peppers — Under the Bridge [mv]
tags: loneliness, city, urban
เดินเพื่อเมืองดี
“Given enough eyeballs, all bugs are shallow”
— The Cathedral and the Bazaar, Eric S. Raymond
จาก ผมเดิน, พี่ป๊อกเดิน, และได้อ่านความเห็นหลาย ๆ คน ที่ก็ชอบเดิน “ชม” เมืองเช่นกัน
ผมมีความคิดว่า
ถ้าคนกรุงเทพ (เชียงใหม่ หรือจังหวัดใด ๆ)
เดินกันมากขึ้น
เมืองมันจะน่าอยู่กว่านี้
ทำไม ?
ผมคิดว่า ยิ่งคนเดินเยอะ เมืองก็ยิ่งมีัชีวิต
ลองเทียบชีวิตของถนนคนเดินอย่างข้าวสาร กับชีวิตของถนนรถวิ่งอย่างวิภาวดี
รถวิ่งผ่านมาแล้วก็ผ่านไป นอกจากสิ่งห่อหุ้มและเครื่องปรับอากาศ ที่กันเราจากสภาพภาพนอกแล้ว รถมันยังวิ่งเร็วเกินกว่าที่เราจะมีเวลา สังเกต ซึบซับ อะไรได้
(ช่วงเวลารถติด ในบางครั้ง สำหรับบางคน จึงเป็นช่วงเวลามหัศจรรย์ ที่จะได้ดูความเป็นไปของ “ชุมชนห้านาที” ณ สี่แยก ก่อตัวขึ้นมาด้วยไฟแดง และสลายลงไปด้วยไฟเขียว ดูคันนั้นป้อนข้าวลูก ดูคันโน้นทำการบ้าน ดูคันข้าง ๆ แต่งหน้า)
เมื่อเราจะได้สัมผัสกับสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ มากขึ้น ทั้งด้านปริมาณ (เวลามากขึ้น) และคุณภาพ (สัมผัสโดยตรงขึ้น)
เราก็จะได้ ซึบซับสิ่งดี ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ เพิ่มความรื่นรมย์ให้ชีวิตเมือง
ในขณะเดียวกัน ก็รับรู้สิ่งมี่ไม่ดี รู้ว่าปัญหามันอยู่ที่ไหนยังไง อันจะเป็นก้าวแรกไปสู่้การแก้ปัญหาได้
“ให้มีดวงตามากพอ ข้อผิดพลาดทั้งหลายจะปรากฎ”
ESR ผู้เขียน The Cathedral and the Bazaar “คัมภีร์” โอเพนซอร์ส ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด เค้าว่าไว้อย่างนั้น
... คนเดินตลาดเยอะกว่า คนเยอะ ตาก็เยอะ (เพราะทุกคนมียาย... ตึ๊ง!!)
และการได้เดิน ได้สัมผัสกับชีวิตภายนอกบ้าน ที่ทำงาน ที่ซื้อของบ้าง
ก็น่าจะทำให้เราเป็นส่วนหนึ่งของเมืองมากขึ้น
มีความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วม และน่าจะทำให้รักและหวงแหนเมืองของตัวมากขึ้น
อยากที่จะมีส่วนร่วมคิดตัดสินใจความเป็นไป
และพร้อมทำตัวให้กลมกลืน เป็นเนื้อเดียวกับเมืองมากขึ้น
ผมคิดว่าอย่างนั้น
เหล่านี้ ทั้งหมดแล้ว น่าจะทำให้คุณภาพชีวิตในเมืองมันดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยลำดับได้
พูดไปพูดมา ถ้า พล-เมือง (citizen, ไม่ใช่ subject หรือ commoner) ทำตัวเหมือนกับผู้ใช้ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส ที่เป็นทั้งผู้ใช้ ผู้พัฒนา ผู้ทดสอบ ผู้รายงานข้อผิดพลาด ฯลฯ หลายหน้าที่ในคนเดียวกัน ... เมืองจะเป็นยังไง ? (รุ่ง หรือ เละ ?)
เอาแค่คนออกแบบ/สั่งให้สร้างสถานี/ทางเชื่อมบีทีเอส เค้าได้มาเดินเท้าข้างล่างหน่อย เราคงได้เห็นอะไรที่มันทุเรศน้อยกว่านี้
รูป เดินเล่นทองหล่อตอนดึก มาแล้ว
การเดินทางในคืนนั้น เริ่มจาก ... งานแต่งงาน เอ๊ะ
ไปงานแต่งงานลูกคนแถวบ้านเป็นเพื่อนแม่น่ะ ที่โรงแรมแถวโบ๊เบ๊ กลับมาบ้านประมาณสามทุ่มน่าจะได้ อารมณ์ช่วงนั้นมันคง อืม อยากออกไปข้างนอกหน่อย ทำธุระกับที่บ้านมาทั้งวันแล้ว แนว ๆ นั้นมั้ง พักนี้เป็นบ่อย .. สงสัยจะอยู่คนเดียวมานานเกินไป
อยากอยู่กับตัวเองบ้าง อยากออกไป 'หา' อะไรบ้าง
ก็เลย ขอออกไปเดินหน่อยเถิด
ตั้งใจตอนแรกว่าจะออกตอนสี่ทุ่ม มัวแต่ดูบล็อก ล่วงเลยไปถึงห้าทุ่มกว่าโน่น กว่าจะได้ออก
พี่สาวก็งง ๆ เออ จะออกไปไหนเนี่ย ดึกป่านนี้ พอบอกว่าไปเดินเล่น เค้าก็ว่า เมืองไทนมันไม่ได้ปลอดภัยขนาดนั้นนะเว้ย เราก็ อืม ก็ใช่แหละ แต่มันก็เลือกเดินได้น่ะ น่าจะโอเค
พูดถึงความปลอดภัย กับการเดินตอนกลางคืนในกรุงเทพ ผมเคยเดินจากแถวหน้าโปเซดอน รัชดา ประมาณเที่ยงคืนได้มั้ง ไปถึงแถวหลักสี่ตอนน่าจะตีสี่ได้ ก่อนจะขึ้นรถเมล์กลับหอที่มธ.รังสิต อารมณ์ตอนนั้นมันคือ เออ มาลองดูหน่อยซิ ว่าจะเดินได้ถึงแค่ไหน เส้นทางที่เดินคือถนนรัชดา จากหน้าโปเซดอน ก็เดินมาเรื่อย ๆ ถึงศาลฎีกา ก่อนจะหาทางลอดใต้ทางยกระดับ (ที่มันตัดกับวิภาวดีน่ะ) ไปออกอีกทางได้ก็เหนื่อยเหมือนกัน มันไม่มีสะพานลอย เราก็เดินเลาะ ๆ ลอด ๆ เอา ไปตาม ทางยกระดับ ไปออกตรงที่มันเป็นที่จอดรถขยะเยอะ ๆ อีกฝั่งน่ะ
ถามว่าปลอดภัยมั๊ย มันก็ไม่ค่อยหรอก แต่อารมณ์ตอนนั้นมันอยากเอาชนะน่ะ บ้า แต่ถามว่ากลัวอะไรเหรอ คนก็ไม่ใช่ รถก็ไม่ใช่ (แทบจะไม่มีรถเลยตอนนั้น) แต่กลัวผี กะกลัวหมา โดยเฉพาะหมานี่น่ากลัวมาก มันอยู่กันเป็นฝูงใหญ่ใต้ทางยกระดับนั่น ไม่น้อยกว่าห้าสิบตัวล่ะ กลัวว่าถ้าเกิดมีตัวไหนมันเริ่มกัด ก็คงไม่รอดแน่ ดีว่าเคยมีประสบการณ์ถูกหมากัดมาก่อน เพราะดันวิ่งหนี เลยพอจะรู้ว่าควรจะวางตัวยังไง แต่ทุกวันนี้นึกถึง ก็ยังกลัวอยู่ มันเยอะจริง ๆ
แต่นี่มันก็คงเฉพาะเขตเมืองที่พอจะรู้จักล่ะนะ ถ้าเป็นนอก ๆ ไปอีก ผมก็คงไม่เอาหรอก เป็นอะไรไปก็ไม่มีใครรู้แน่
นึก ๆ แล้วก็ เออ อันตรายนี่หว่า
บ้าบอจริง ๆ มีลูกแบบนี้ก็คงกลุ้มใจเป็นธรรมดา
กลับมาที่คืนนั้น ทองหล่อ ต่อ
ก็ออกจากบ้านมา มันจะเที่ยงคืนแล้ว เราเลยขอแวะไปซื้อเบียร์ที่เซเว่นแถวบ้านก่อน กระป๋องนึงน่า ตุนไว้ก่อน ในใจคิด ขอเดินกินชิล ๆ หน่อย จะไปซื้อเอาดาบหน้าก็ไม่ได้ เดี๋ยวนี้หลังเที่ยงคืนเค้าห้ามขายแล้ว ซื้อได้อีกที โน่น สิบเอ็ดโมง :P (แต่สุดท้าย เบียร์หนึ่งกระป๋องที่ซื้อไป ก็ไม่ได้กิน เอากลับมาแช่ต่อที่บ้าน .. พาเบียร์ไปเดินเล่น :P)
ได้เบียร์ปุ๊บ เราก็เดินมาอีกฝั่ง ดูนั่นดูนี่แถวบ้าน เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน มีตึกแถวสร้างใหม่ มีตึกสำนักงานสร้างใหม่ เซเว่นอีกสาขาก็กำลังทำร้านใหม่ ขยายไปอีกห้อง (รูปแรก) ดูจนพอใจแล้ว ก็เรียกแท็กซี่ จะไปละ
บอกคนขับแท็กซี่ไปตอนแรกว่า นานา กะจะเดินจากแถวนั้น แล้วค่อยเลยไปถึงทองหล่อ
แต่นั่งไปซักพัก รถวิ่งไปจะถึงเส้นเพชรบุรีตัดใหม่แล้ว ก็เปลี่ยนใจ ขอเปลี่ยนเป็นทองหล่อก่อนละกัน ให้พี่เค้าไปส่งตรงตีนสะพานด้านถนนเพชรบุรี ที่จะข้ามไปทองหล่อ
แล้วก็เริ่มเดิน
ผมเลือกที่จะข้ามสะพานด้วยการเดินบนพื้นถนน ส่วนเดียวกับที่รถวิ่ง ไม่เดินไปด้านข้างสะพาน คิดว่ามันคงมี บันไดแหละ แต่มันมืดไปหน่อย เดินด้านนี้ดีกว่า สบายใจ รถมันไม่เยอะ นาน ๆ มาที เดินได้
ข้ามมาอีกฝั่ง ก็เห็นคนเดินอยู่สองกลุ่ม เพิ่งลงจากรถ คงจะมาเที่ยวผับแถวนั้น เออ ผมเพิ่งรู้แฮะ ว่าไอ้ตึกตรงนี้มันคือตึกลิเบอร์ตี้ เคยมานะ เมื่อก่อนมีร้านเพื่อนของเพื่อนตั้งอยู่ แต่ไม่รู้ว่ามันชื่ออะไรไง อ้อ แจ่มบาร์มันก็อยู่ตรงนี้แฮะ ... พูดไปก็เขิน ๆ แต่เดี๋ยวนี้ไม่รู้จักผับใหม่ ๆ เลย ไม่รู้ไปอยู่ไหนมา :P
เดินมาได้หน่อย มันก็เป็น H1 ที่หมายมั่นปั้นมือไว้สักพักละ ว่าจะขอมาเยือนหน่อย ปรากฎว่ามันปิดแล้ว :P แหงล่ะ ก็มันเที่ยงคืนกว่าแล้วนี่ แต่ก็โอเค เห็นร้านหนังสือที่อยากเข้าไปดูละ ใหญ่เหมือนกันนะ ไว้วันหลังมาใหม่
เดินไปเรื่อย ๆ ถ่ายรูปโน่นนี่เป็นระยะ ทองหล่อตอนไม่มีคนเที่ยวนี่ มันเงียบจริง ๆ นะ ไม่น่าเชื่อเลย เปลี่ยวกว่าแถวบ้านผมตอนดึก ๆ อีกเอ้า อย่างน้อยในซอยแถวบ้านผม ไฟมันก็สว่างกว่าแถวนี้ล่ะ :P
ถนนเส้นต่าง ๆ บางทีก็คงเหมือนคน มีช่วงเวลาของมัน ตื่น นอนหลับ
บางเส้นก็ตื่นตอนกลางคืน นอนตอนกลางวัน บางเส้นก็กลับกัน
และบางคืนบางคน ก็นอนไม่หลับ ออกมาเดินให้ถนนเป็นเพื่อน
ประชากรส่วนใหญ่ที่พบเจอในช่วงเวลานั้น คือเจ้าหน้าที่ รปภ. ... พี่ยามทั้งหลายนั่นเอง หรือไม่ก็จะเป็นพนักงานร้านอาหารต่าง ๆ ที่เพิ่งเลิกงาน ออกมาจับกลุ่มคุยกัน หรือหาอะไรกินตามรถเข็นข้างทาง ซึ่งก็มีเหลือเปิดอยู่ไม่มากนัก
บนถนนทองหล่อวันนี้ มีพื้นที่ประมาณ "เวิ้ง" เปิดกันให้พรึ่บ คือเป็นลักษณะเป็นตึกสองสามชั้น เว้าเข้าไปเป็นที่จอดรถ แล้วก็มีร้านรวงหลาย ๆ ประเภทเปิดอยู่ข้างใน ก่อนหน้าที่ผมจะไปเรียน เห็นมีอยู่แค่อันเดียว ที่มันมี สตาร์บั๊กส์ด้านหน้า กะ ท็อปส์ซุปเปอร์มาร์เก็ตด้านใน น่ะ แต่ตอนนี้ น่าจะมีซักสามสี่อันได้มั้ง ช่วงหัวค่ำก่อนเที่ยงคืน คงจะคึกคักทีเดียว เอาไว้จะมาใหม่ :)
ใกล้จะถึงปากซอยทองหล่อด้านสุขุมวิท ช่วงนี้ก็จะเป็นดงเล็ก ๆ ของร้านอาหารญี่ปุ่น แม้จะเยอะสู้แถวเอ็มโพเรียม และละแวกนั้นไม่ได้ แต่ก็มีพอสมควรทีเดียว เคยมากินหมูกะทะเกาหลีร้านแถวนี้ อร่อยดี
กับเพื่อน ๆ ที่ถูกใจ กินไปคุยไป บรรยากาศสนุก ถ้าของที่กินจัดเป็นอาหารคนหน่อย อะไรก็คงอร่อยไปหมด
ออกมาถึงหน้าปากซอยแล้ว ถ้าเลี้ยวซ้ายก็จะเป็น 55 โภชนา ร้านประจำของใครหลายคน ผมเลี้ยวขวา ขึ้นสะพานบีทีเอส
มองลงไปในซอยตรงข้าม รถเข็นขายอาหารเก็บไปเกือบหมดแล้ว เหลืออยู่ไม่กี่เจ้า เหล้าจะอร่อยยังไง (อืมม .. จริง ๆ มันไม่อร่อยนะ) สุดท้ายถ้าหิวก็ต้องกินข้าว ร้านอาหารรอบดึกใกล้ที่เที่ยวจึงขายดีเสมอ ... ไม่ใช่สักแต่ว่ามากินให้อิ่ม ๆ ไป หลายเจ้านั้นก็อร่อยทีเดียว ... แต่ไม่รู้เป็นเพราะว่าเมารึเปล่าน่ะสิ :P
เดินไปเรื่อยทางทิศเข้าเมือง ตามเส้นทางบีทีเอส มืดกว่าที่คิดนะ ถนนแถวนี้ หรือเพราะว่ารางรถไฟมันบังแสงจันทร์เสียหมด ? ไฟถนนก็ดูจะไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่ ตึกแถวนี้ไม่เปิดไฟหน้าร้านแฮะ นาน ๆ จะมีบางร้านที่เปิด
ต่างจากในซอยทองหล่อ ที่ผู้คนที่ผมพบเห็นส่วนใหญ่เป็นพนักงานร้าน กำลังจะกลับบ้าน ผู้คนแถวนี้ที่เจอ ส่วนใหญ่น่าจะไม่มีบ้านให้กลับ หลายคนนอนอยู่ใต้สะพานลอย ที่ป้ายรถเมล์ หรือหน้าร้านค้าที่ปิดอยู่ เป็นอย่างนี้ไปตลอดแนว จนถึงแถวนานา
นอกจากจะมีหลับมีตื่นแล้ว ถนนแต่ละเส้น ก็ยังมีชีวิตที่ไม่เหมือนกันในแต่ละช่วงของวันด้วย
เจอฝรั่งออสซี่คนนึงระหว่างทาง เราเจอกันตรงใต้สถานีบีทีเอสอโศก เขากำลังมองดูคนไม่มีบ้านคนนึงนอนอยู่หน้าลิฟต์บีทีเอส ผมมองดูเขา เขาหันมา ผมยิ้มให้สั้น ๆ หันมองไปที่คนที่นอนอยู่ แล้วหันกลับมายิ้มให้เขาอีกที บทสนทนาจึงเริ่มต้น เขาเริ่มถามก่อน "คิดยังไงกับภาพนี้ ?" ผมไม่รู้จะตอบอะไร นิ่งไปซักพัก คิด ก่อนจะตอบไปว่า "ไม่รู้" อยู่สองสามครั้ง เหมือนจะย้ำว่าไม่รู้จริง ๆ แต่ก็นั่นล่ะ ผมไม่รู้จริง ๆ
เราเดินออกมาไปทางนานา "ด้วยกัน" ที่พักเค้าอยู่แถวนั้น ผมเองก็จะเดินไปทางนั้นอยู่แล้ว จะเรียกว่าเดินไปด้วยกันดีไหม่ .. "เดินร่วมทางกัน" ก็แล้วกัน
ผมบอกเขาว่า ผมคิดว่าคนเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากนอกกรุงเทพ เข้ามาหางาน มาหาชีวิตที่ดีกว่าในกรุงเทพ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะประสบความสำเร็จ
ถนนสุขุมวิทตอนเที่ยงวัน ที่เป็นที่รวมของคนประสบความสำเร็จ มีห้างหรู มีสำนักงานมากมาย พอหลังเที่ยงคืน เลยกลายเป็นที่รวมของคนอีกด้าน
ข้อสรุปในความคิด ที่ผมพยายามบอกเขาไป มันดูเหมารวมไปหน่อย แต่บางส่วนก็น่าจะเป็นความจริงบ้าง
ตอนที่เขาถามว่า ผมมาจากไหน แล้วได้รู้ว่า "มาจากกรุงเทพ" เขาทำท่าแปลกใจ ถามผมว่าแล้วมาทำอะไรแถวนี้ เวลานี้
ผมบอก รู้สึกอยากเดิน นอนไม่หลับด้วย หลาย ๆ อย่าง
ฝรั่งออสซี่คนนี้ดูท่าเขาจะชอบเดินดูอะไรตามถนนเหมือนกัน เขาว่ามันเห็นอะไรเยอะดี กลางวันก็อย่าง กลางคืนก็อย่าง ถนนเดียวกันนี่แหละ นี่พอไปถึงที่พักแล้วเขาจะไปหยิบกล้อง แล้วจะกลับไปถ่ายรูปคนไร้บ้านตรงบีทีเอสนั้น
...
จะอยู่ใกล้บ้านหรือไกลบ้าน เราต่างก็กำลังเดินทาง
จบตรงนี้ดีกว่า :)
tags: Thonglor | Sukhumvit | Bangkok | Thailand | night | walk | photos
วันนี้เป็นวันเงียบ ๆ
มีธุระทั้งวัน
ดึกแล้ว น่าออกไปเดินเล่นนะ
ไปเดินในถนนที่มีแต่คนไม่รู้จัก
นั่งพักในร้านที่ไม่เคยไป
มีไฟสลัว มีควันมัว ๆ ของบุหรี่
ที่ที่ไม่ยอมหลับ ผู้คนนับไม่ถ้วน
ผมคิดว่า คืนนี้จะออกไปเดินแถวนานา-ทองหล่อ
ถ้าครื้ม ๆ ก็อาจจะแวะร้านสะดวกซื้อ เบียร์ซักกระป๋อง เดินกินเพลิน ๆ
ยังไงคงต้องก่อนเที่ยงคืนใช่ไหม เค้ามีกฎอยู่
เราควรจะดูโฆษณามั๊ย กินตอนไหนไม่ได้ ขายแถวไหนไม่ดี
อากาศคืนนี้ไม่ร้อน สบายสบาย น่าจะเดินได้สนุก ๆ
ออกไปดูภาพ และถ่ายภาพ บ้าง ถ้ารู้สึกดี
หรือบางทีก็ นึกถึงภาพ ..ที่มันโยงกับภาพตรงหน้า ที่มันสัมพันธ์บางอย่างกับเรา
ออกไปสูดอากาศ ..พิษ? กลิ่นของเมืองตอนกลางคืน
และในบางลมหายใจที่ผ่านปอด ก็อาจจะเป็นอากาศเดียวกันกับที่เพื่อนเราได้สูดมาก่อน
เราทุกคนต่างมีปอดเป็นของตัวเอง
แต่คงไม่มีใครมีอากาศเป็นของตัวเองได้
ปอดทุกปอด ล้วนอยู่ในชั้นบรรยากาศเดียวกัน
ทุกลมหายใจนั้น เราล้วนต่างแบ่งปันกันอยู่
หากรังเกียจกัน แบ่งเขาแบ่งเรา ..กลั้น หยุดลมหายใจเสีย
คืนนี้ลมดูไม่แรง อากาศรอบ ๆ ตัวเพื่อนที่อยากเจอ อาจจะมาได้ไม่ไกลถึงแถวนี้
ไปเดินบนถนนเดียวกัน แม้ไม่ได้เจอกัน ก็ดูจะเป็นเรื่องที่ดีพอ
สูดให้เต็มปอด ให้ปอดพองโต อวัยวะข้าง ๆ ปอดจะได้ไม่เหงา
สี่ทุ่ม
ไปแล้วนะ
มิถุนายน พ.ศ. 2548 เมืองเอสเซ่น (Essen) ได้รับเลือกเป็น เมืองหลวงทางวัฒนธรรมของยุโรป ประจำปี ค.ศ. 2010
ปลายเดือนนี้ วางแผนจะไปดูงาน Talking Cities ที่เอสเซ่น
Talking Cities - The Micropolitics of Urban Space
an exhibition at ENTRY2006 - PERSPECTIVES AND VISIONS IN DESIGN
26 August to 3 December 2006, Zeche Zollverein, Essen, Germany
“Architecture should allow people
to think the unthinkable!”
CEDRIC PRICE
tags: Essen | Germany | European Capital of Culture | culture | Talking Cities | exhibition
Re-think our beliefs and expectations of the emerging interactive city.
Interactive City Summit 2006, part of ISEA2006 Symposium, art and interconnectivity.
tags: urban | interactive | city | urban planning | conference | summit |