ย้ายบล็อกไปที่ bact.cc แล้วนะครับ

พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
หยุด ร่างพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
พื้นที่เก็บข้อมูลออนไลน์ ฟรี 2GB จาก Dropbox (sync กับ Windows, Linux, Mac, iPhone, Android ฯลฯ ได้)
Showing posts with label politics. Show all posts
Showing posts with label politics. Show all posts

2011-04-21

เทคโนโลยี-ภาพลวงตา

เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติของสหรัฐ บอกว่าเทคโนโลยีทำให้คนทำอะไรโง่ ๆ

ผมว่ามันน่าสนใจดี เทคโนโลยีทำให้คนมั่นใจเกินเหตุ

คนที่ก่อนหน้านี้อาจจะไม่กล้าปีนเขา ไม่กล้าทำอะไรบางอย่าง เพราะประสบการณ์ยังไม่พอ ความสามารถยังไม่ถึง พอมีเครื่องมืออะไรช่วยที่ทำให้เขามั่นใจ เขาก็จะกล้า

ด้านดีมันก็มี คือมันก็เปิดโอกาส เปิดพรมแดนใหม่ ๆ ลดกำแพงการเข้าถึงสิ่งต่าง ๆ

ด้านแย่ก็คือ เออ บางทีมันมั่นใจเกินเหตุ สร้าง illusion ไปว่า กูแน่ กูทำได้

ผมสนใจว่า ด้วยเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต การสื่อสาร ฯลฯ เนี่ย มันทำให้คนในขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม มั่นใจอะไรเกินเหตุไปไหม ว่าเทคโนโลยีจะมาช่วยให้กิจกรรมกิจการอะไรต่าง ๆ มันไปได้ง่ายดาย เราทำได้ ฯลฯ คือมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นน่ะ มันก็ยังต้องอาศัยปัจจัยอื่น ๆ ด้วย จะพึ่งเทคโนโลยีซะเยอะคงไม่ไหว

ทำคลิป ทำอะไร ๆ มันก็ทำได้แล้วแหละ มือถือถ่ายรูป ทำข่าว ทำรายงานต่าง ๆ

แต่สุดท้ายคลิปที่ถ่าย ๆ มา ก็โดนศอฉ.เอาไปใช้ พากษ์ทับเป็นอีกอย่าง ใช่ไหม ?

The Net Delusion โดย Evgeny Morozov เป็นหนังสือเล่มหนึ่ง ที่พยายามจะพูดถึงประเด็นนี้ อินเทอร์เน็ตไม่ได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมแบบ "เสกได้" แน่นอนว่ามันเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่ไม่ใช่เพียงฝ่ายก้าวหน้า ฝ่ายปฏิวัติ "ฝ่ายประชาชน" "ฝ่ายสว่าง" จะใช้มันได้ ฝ่ายอำนาจนำ ฝ่ายรัฐ "ฝ่ายมืด" ก็ใช้มันได้เหมือนกัน และอาจจะใช้ได้เก่งกว่า มีประสิทธิภาพกว่าด้วยซ้ำ

Morozov คุยถึงเนื้อหาจากหนังสือเล่มนี้ กับอาจารย์ทางด้านรัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อีกสองคน ที่ Open Society Institute นิวยอร์ก:

Morozov คุยหัวข้อเดียวกัน ที่ Carnegie Council (วีดิโอ + บันทึกเป็นข้อความ)

รีวิวหนังสือที่ The Economist, The Observer, The Independent, The Telegraph, NPR

Cory Doctorow เขียนถึง (โต้): We need a serious critique of net activism (ลิงก์จาก @Fringer)

อนิเมชั่นเรื่องขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมและอินเทอร์เน็ต พากษ์โดย Morozov:

2011-02-28

28 ก.พ. 2519 บุญสนอง บุณโยทยาน เลขาธิการพรรคสังคมนิยมฯ ถูกลอบสังหารเสียชีวิต

บุญสนอง บุณโยทยาน: นักสังคมนิยมและนักวิชาการชาวไทย (1936-1976)
โดย คาร์ล เอ. ทร็อกกี้ (Carl A. Trocki)
แปลจาก Carl A. Trocki, Boonsanong Punyodyana: Thai Socialist and Scholar, 1936-1976, Bulletin of Concerned Asian Scholars. 9: 3 (July-September 1977), pp.52-54.

ดร.บุญสนอง บุณโยทยาน เสียชีวิตด้วยกระสุนปืนของผู้ลอบสังหารเมื่อเวลาประมาณ 01.30 น. ของวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2519 ขณะดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย แทบไม่น่าสงสัยเลยว่าสาเหตุของการลอบสังหารครั้งนี้เกี่ยวพันกับการเมือง มีเพียงส่วนน้อยในหมู่ชนชั้นนำไทยออกมาแสดงความเสียใจกับการจากไปของเขา ทำให้ไม่ค่อยมีใครคาดหวังว่าจะมีการจับกุมฆาตกรมาดำเนินคดี อย่างไรก็ตาม ยังคงมีผู้คนอีกมากมายที่อาลัยถึงเขาอย่างสุดซึ้ง ซึ่งรวมถึงภรรยาและลูกสาวทั้งสองของเขา เพื่อนนักวิชาการ และประชาชนชาวไทย

บุญสนองเป็นทั้งนักวิชาการผู้ปราดเปรื่องและนักต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ทางการเมืองผู้ไม่เคยย่อท้อ เขาเป็นหนึ่งในนักสังคมศาสตร์เพียงไม่กี่คนที่มีความสามารถโดดเด่นทั้งในเชิงแนวคิดและการปฏิบัติ ผู้ที่เศร้าเสียใจกับการจากไปของเขา มีทั้งนักศึกษาหลายพันคน นักวิชาการ นักเขียนและศิลปิน ชาวนา ชนชั้นแรงงาน ข้าราชการ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวไทยผู้มีความคิดก้าวหน้า พิธีไว้อาลัยที่จัดขึ้นไม่กี่วันหลังการเสียชีวิตของเขา ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีผู้เข้าร่วมกว่าหนึ่งหมื่นคน พวกเขาเห็นว่าความตายของบุญสนองเป็นความสูญเสียเชิงสัญลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่ทั้งสำหรับพวกเขาเองและสำหรับประชาธิปไตยในประเทศไทย

บทความร่วมรำลึกดร.บุญสนอง บุณโยทยาน‏
โดย ทักษ์ เฉลิมเตียรณ, 27 กุมภาพันธ์ 2553

ความสำเร็จในแวดวงวิชาการ สามารถช่วยให้ก้าวเข้าไปเป็นชนชั้นนำของสังคมไทยได้ หากแต่ บุญสนองได้เลือกทางเดินที่ไม่มีใครเดิน โดยจัดตั้งพรรคสังคมนิยมขึ้น ซึ่งนั่นเหมือนกับการทรยศต่อชนชั้นตัวเอง และด้วยความผิดนี้นี่เองที่ทำให้ บุญสนอง ถูกลอบสังหาร

การสังหาร บุญสนอง อย่างเหี้ยมโหดนั้นเป็นการกระทำที่มุ่งหวังจะสั่งสอน ทั้งนักศึกษา อาจารย์ และปัญญาชนที่ก้าวหน้าให้รู้ว่าพวกเขาไม่ควรจะกระทำการทรยศต่ออำนาจผูกขาดของชนชั้นนำ ขุนนางและพลพรรคที่เป็นนายทุน

แม้เวลาจะผ่านไปแล้ว 34 ปี แต่สภาพความเหลื่อมล้ำทางสังคมเศรษฐกิจที่มองด้วยแนวทางการเมืองของ บุญสนอง แทบจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปสักกี่มากน้อย รอยร้าวและความแตกแยกในสังคมยิ่งทวีความเลวร้ายมากขึ้นจากความขัดแย้งทางการเมืองที่หาข้อยุติได้ยากในบรรดากลุ่มหรือชนชั้นต่างๆ ในสังคม

วิกิพีเดีย: บุญสนอง บุณโยทยาน

technorati tags: , , , , ,

2011-02-06

แล้วหน้าที่ของคนตรงนี้คือต้องอพยพไปเรื่อย ๆ ใช่ไหม?

หลังหนีเหตุการณ์ปะทะออกมา เด็กที่ภูมิซรอล ชายแดนไทย-กัมพูชาถาม :

หน้าที่ของคุณคือกู้ชาติใช่ไหมคะ
แล้วหน้าที่ของคนตรงนี้คือต้องอพยพไปเรื่อย ๆ ใช่ไหม?

(ข่าวสามมิติ ช่องสาม 6 ก.พ. 2554 22:30)

technorati tags: , ,

2011-02-02

คำถามจากนักข่าวญี่ปุ่น: โครงสร้างอำนาจ และความรับผิดชอบ

วิดีโอ สำนักงานกฎหมายอัมสเตอร์ดัมแอนด์พีรอฟฟ์ ร่วมกับ นปช. แถลงข่าว การยื่นคำร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (2011.01.31)

ระหว่างการถามตอบข้อสงสัย นักข่าวญี่ปุ่น ยามาดะ จากหนังสือพิมพ์อาซาฮี ชิมบุน ถามอัมสเตอร์ดัมว่า จะทำให้อำนาจอื่น ๆ ในโครงสร้างอำนาจในสังคมไทย รับผิดชอบต่อเหตุการณ์นี้ได้อย่างไร?
[ชั่วโมงที่ 2:11; แปลอังกฤษ 2:12; ไทย (แปลไม่เต็ม) 2:13]

ผมคิดว่าคำถามของนักข่าวญี่ปุ่นคนนี้น่าสนใจ และผู้แปลภาษาไทยในงานแถลงข่าว แปลไว้น้อยกว่าที่นักข่าวเขาพูด เลยขออนุญาตแปลแบบสรุปความ (จากภาษาอังกฤษซึ่งถูกแปลมาจากญี่ปุ่นอีกที) ไว้ในบล็อกนี้, ยามาดะถามว่า:

ผมเชื่อว่าโครงสร้างอำนาจที่สถาปนาอยู่ในสังคมไทยนั้นซับซ้อนมาก

ใช่ นายกอภิสิทธิ์คือเป้าหมายของคุณในขณะนี้ แต่อภิสิทธิ์เป็นตัวแทนของรัฐบาล ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในองค์ประกอบอำนาจที่สถาปนาอยู่ในขณะนี้

คุณยังมี กองทัพ คณะองคมนตรี และ royal elements คุณจะจัดการยังไงกับองค์ประกอบในโครงสร้างอำนาจเหล่านั้น

ผมขอแสดงความคิดเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่เพียงเกิดขึ้นผ่านฝ่ายบริหารเท่านั้น ยังมีการตัดสินใจและการดำเนินการที่ทำผ่านองค์ประกอบโครงสร้างอำนาจอื่น

คุณคิดจะติดตามอย่างไรต่อเพื่อให้องค์ประกอบอื่น ๆ นั้นรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย

นี่คือมุมมองจากภายนอก ถึงโครงสร้างอำนาจทางการเมืองไทย ซึ่งจริง ๆ นักข่าวไทยก็คงไม่ได้ naïve ไม่รู้ประสีประสา เพียงแต่มีข้อจำกัดในการทำงาน และองค์กรของตัวเองก็อยู่ในโครงสร้างอำนาจที่ว่านั่นด้วย ก็เลยเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่า คำถามแบบนี้ ถ้าเขาจะไม่ถามกัน ก็ว่ากันไม่ได้นะ

ตัววิดีโอทั้งหมดยาว 2:27 ชั่วโมง เป็นช่วงการถ่ายทอดจากญี่ปุ่นจริง ๆ ประมาณ 2 ชั่วโมง

เนื้อหาเป็นการตอบคำถามเรื่องคำร้องต่อสำนักงานอัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ ICC ซึ่งสำนักงานกฎหมายอัมสเตอร์ดัมแอนด์พีรอฟฟ์ ยื่นในนามของ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ

เอกสารคำร้องฉบับเต็ม ภาษาอังกฤษ ยาว 294 หน้า (มีฉบับแปลไทยด้วย), ถ้าไม่มีเวลา ก็มีแบบสรุป Executive Summary 7 หน้า

ปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ สรุปประเด็นสำคัญเอาไว้ 3 ส่วน พร้อมข้อสังเกตส่วนตัวแนบท้าย


ดาวน์โหลดเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้ที่เว็บไซต์ Accountability Project (thaiaccountability.org)
และที่บล็อกของโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม (robertamsterdam.com/thailand/ หรือภาษาไทย: robertamsterdam.com/thai/)

technorati tags: , , , , ,

2010-09-29

people change ..และเรารู้ว่า ตัวเราเปลี่ยนไป

..และเรารู้ว่า ตัวเราเปลี่ยนไป

เมื่อเราผ่านการต่อสู้ เราย่อมตระหนักรู้ ว่าตัวเราเปลี่ยนไป
มันอาจจะเพียงไม่นาน และเราไม่ได้ถูกจ้างวานให้มาโดยใคร
เราสุขเราทุกข์มาด้วยกัน ผ่านคืนและวันที่เราต่างลุกเป็นไฟ
ไฟบางกองวูบวับดับลง หากที่เหลือยังคงเป็นไฟกองใหม่
แม้ล่วงเข้าปลายฤดูฝน มันยังลุกอยู่บนสิ่งที่ควรลุกไหม้
เพื่อนเอ๋ย..เราไม่อาจปล่อยวาง จุดหมายปลายทางยังอีกยาวไกล.......

ระหว่างเส้นทางสายนี้, เราเริ่มรู้ว่ามีเรื่องราวมากมาย
มีชุมชน และผู้คนเหล่านั้น ในตรอกซอยตัน และถนนสายใหญ่
บนทางลอยฟ้า หน้าห้างฯ ลานสนามกว้างขวางมีเวทีอภิปราย
วิทยุ, ทีวี, หนังสือ ฯลฯ บอกเราให้ยึดถือหลักการฯ ทั้งหลาย
การเผชิญหน้าปากกระบอกปืน ช่วยให้เราหยัดยืนได้มั่นคงกว่าใครๆ
และการล้อมปราบครั้งนั้น ไม่ทำให้เราพรั่นพรึงแต่อย่างใด........

เพื่อนเอ๋ย เราผ่านมันมา และเรารู้ว่า ตัวเราเปลี่ยนไป
เราเริ่มพูดจาเหมือนกัน ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องอะไร
คิดและทำสิ่งเดียวกัน ตั้งเข็มมุ่งมั่นโดยมิต้องนัดหมาย
ไม่ต้องมัวตั้งคำถาม เพราะทุกอย่างเป็นไปตามชุดคำอธิบาย
การเมือง, สังคม, เศรษฐกิจ ทุกเรื่องเราคิดคำตอบได้ง่ายดาย
เรารักคนคนเดียวกัน และเกลียดคนคนนั้นเหมือนๆ กันใช่ไหม ?
ทุกคน ทุกเรื่องที่เรารัก ทำไมเรามักไม่มีคำถามใดๆ ?
และทุกคน ทุกเรื่องที่เราเกลียด เราก็ยิ่งยัดเยียดความเกลียดชังลงไป
เราอนุโลมให้กับความผิดพลาด ในทุกๆ โอกาสของพวกเราใช่หรือไม่ ?
เราจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ท่ามกลางความเงียบงันของ “คำถาม” ได้อย่างไร ?
หรือนี่คือสิ่งที่เรากำหนด ให้เป็นอนาคตของ“สังคมไทย” ..? .........

แน่นอน..เราถูกกระทำ ถูกเหยียดถูกย่ำอย่างกับวัวกับควาย
เสียงเราไม่ถูกได้ยิน เลือดเราไม่มีกลิ่นเหมือนพวกเขาทั้งหลาย
ศพเราไม่ถูกมองเห็น เหมือนว่าเรานั้นเป็น “ผู้ไม่มีร่างกาย”
แต่แล้ว ในเวลาเดียวกัน เรากำลังทำอย่างนั้นกับคนอื่นอยู่หรือไม่ ?
เราคิดว่า ข้างนอกนั่น มีแต่ “พวกมัน” เท่านั้นหรืออย่างไร ?
หลายคนคงยังพอนึกออก ถึงตอนที่อยู่ “ข้างนอก” ยังไม่เข้ามา “ข้างใน”
ก่อนจะมาถึงวันนี้ เราต่างก็เคยมีเมื่อวานนี้ ใช่หรือไม่ ?
เราเคยเห็นแย้งเห็นต่าง อคติ – เป็นกลาง กับเรื่องราวหลากหลาย
เคยถกเถียงหน้าดำคร่ำเครียด แต่ไม่เคยโกรธเกลียดกันแบบเอาเป็นเอาตาย
เคยได้ยินคำพูดทุกคำ แถมยังจดยังจำหน้าตากันได้
เราลองคิดว่า “พวกเขา” ก็คือพวกเราในวันเก่าๆ ได้หรือไม่ ?
คือ “เรา” ที่เคยมีโอกาส ก้าวข้ามความผิดพลาด กลายมาเป็นคนใหม่..
แล้วทำไมเราจะฉวยโอกาส รับฟังข้อผิดพลาดจากพวกเขาบ้างไม่ได้ ?
บางที หลายคนในพวกเขา อาจไม่ใช่ศัตรูเรา อย่างที่เราเข้าใจ............

เพื่อนเอ๋ย เราเพิ่งผ่านมันมา ภาพยังติดตา เรื่องยังคาใจ
คนตายต้องไม่ตายเปล่า ความตายของเขาต้องมีความหมาย
แน่นอน, เราไม่อาจปรองดอง กับคนที่มือทั้งสองเปื้อนเลือดพวกเราได้ !
แต่หากเราต้องเป็นเหมือนกัน - กับคนเหล่านั้น มันมีประโยชน์อะไร ?
เราอาจต้องสนใจปัญหา ในระดับลึกกว่า “อำนาจของตีนใหญ่”
สนใจเครือข่ายกลุ่มก้อน ที่ลึกลับซับซ้อนกว่าเส้นสนกลใน
ทำความรู้จักกับทุกคน เพื่อเข้าใจว่า “ประชาชน” นั้น หมายถึงใคร ?
กล้าพูด กล้าวิพากษ์วิจารณ์ ทุกๆ หลักการที่เริ่มล้าสมัย
ทบทวนวิธีต่อสู้ ที่มุ่งโค่นศัตรูอย่างเอาเป็นเอาตาย
เราก็เห็น ว่าคนเหล่านั้น ทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน..จะเอาอย่างไปทำไม ?
โลกมีพื้นที่กว้างขวาง ผู้คนถูกสร้างให้มีความหลากหลาย
เรา, ฉัน, ท่าน, เขา – แต่ละคน ต่างมีตัวตนแตกต่างกันไป
แต่เสียงเราต้องเป็นที่ได้ยิน เลือดเราต้องมีกลิ่นเหมือนพวกเขาทั้งหลาย
และมันคือเลือดสีแดง เหมือนเลือดสีแดงของผู้คนทั่วไป
ตัวตนเราต้องถูกมองเห็น เพราะชีวิตเราเป็นสิ่งที่มีความหมาย
พลังแห่งปัจเจกภาพ ย่อมไม่ใช่การหมอบราบ – รอฟังคำสั่งใคร !
เพื่อนเอ๋ย..เราจงมากำหนด สิ่งที่เป็นอนาคตของสังคมไทยใหม่
ถ้าไม่อยากย่ำอยู่ที่เก่า...
ถ้าไม่อยากย่ำอยู่ที่เก่า... ตัวตนของเรา จะต้องเปลี่ยนต่อไป


กฤช เหลือลมัย อ่านในงานคอนเสิร์ต “เราไม่ทอดทิ้งกัน” หอประชุมเล็ก ม.ธรรมศาสตร์ กรุงเทพฯ 25 กันยายน 2553 (คัดลอกจาก Facebook)

People change, asshole! / Damn. Who was that? / Someone who's changed. / Clearly.

เพิ่มเติม 2010.09.29 21:06 : บทกวีนี้ พร้อมกับบริบทที่มันถูกอ่าน สร้างข้อถกเถียงอย่างแพร่หลาย เอาแค่เฉพาะใน Facebook ก็มีคนถกเถียงแลกเปลี่ยน แสดงความคิดเห็นกับเรื่องนี้อยู่เป็นจำนวนมาก ที่ผมทราบก็มี:

ข้อผิดพลาดคอนเสิร์ต "เราไม่ทอดทิ้งกัน" และกรณี "คุณโบว์" โดย Chaithawat Tulathon (27 ก.ย. 2553)

แดงแท้ แดงเทียม แดงสลิ่ม แดงมือใหม่ แดงมือโปร แดงมหาเทพ แดงซูเปอร์แดง ฯลฯ โดย Sirote Klampaiboon (28 ก.ย. 2553)

ความคิดเห็นของเราต่อบทกวีของกฤชก็คือ... โดย ภัควดี ไม่มีนามสกุล (28 ก.ย. 2553)

บันทึกส่วนตัวเกี่ยวกับกฤช เหลือลมัย, คุณโบว์และความคับแค้นใจบางประการของสลิ่มตัวพ่อ โดย Peter Sri มีเฌอเป็นลูกรัก (29 ก.ย. 2553)

(อ่านได้อ่านไม่ได้ ก็แล้วแต่ privacy settings ของแต่ละคนนะครับ)

รายงาน: รวมบรรยากาศวัฒนธรรมลูกผสม งาน “เราไม่ทอดทิ้งกัน”

รายงาน: ไต่สวนสาธารณะ ปากคำเหยื่อกระสุน เม.ย.- พ.ค.53

เสวนางาน ‘เราไม่ทอดทิ้งกัน’ : กระบวนการรับผิด กรณีสลายการชุมนุม เม.ย.-พ.ย.

ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายชุมนุม เม.ย.-พ.ค. 53 (คปช.)
People's Information Center The April-May 2010 Crackdown (PIC)

technorati tags: , ,

2010-08-30

sorry sorry sorry (เสียใจแต่ไม่ขอโทษ เสียใจแต่ไม่ขอโทษ เสียใจแต่ไม่ขอโทษ)

ธันวาคม 1970 วิลลี บรันดท์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนีตะวันตก คุกเข่าต่อหน้าอนุสาวรีย์การจราจลโดยชุมชนแออัดเพื่อต่อต้านนาซี ในวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ ขอโทษประชาชนชาวโปแลนด์ที่ถูกนาซีฆ่าตาย 6 ล้านคน ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

วิลลี บรันดท์ คุกเข่าขอโทษ

กุมภาพันธ์ 2008 รัฐบาลออสเตรเลีย โดย Kevin Rudd นายกรัฐมนตรี กล่าวคำขอโทษอย่างเป็นทางการ สำหรับสิ่งที่รัฐบาลก่อน ๆ ได้กระทำผิดต่อชาวพื้นเมืองอะบอริจินในอดีต จากทั้งกฎหมายและนโยบาย ที่สร้างความเจ็บปวดรวดร้าว เศร้าโศกเสียใจ ทุกข์ทรมาน และความสูญเสีย

The Australian government has made a formal apology for the past wrongs caused by successive governments on the indigenous Aboriginal population.

Prime Minister Kevin Rudd apologised in parliament to all Aborigines for laws and policies that inflicted profound grief, suffering and loss.

มิถุนายน 2010 เดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร กล่าวคำขอโทษต่อผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ อาทิตย์นองเลือด (Bloody Sunday) ในไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งกองกำลังของสหราชอาณาจักรได้สังหารผู้ชุมนุมประท้วงชาวคาทอลิกไป 13 คน เหตุการณ์นองเลือดดังกล่าวนำไปสู่ความขัดแย้งที่เพิ่มมากขึ้น การขยายตัวของกองกำลังไออาร์เอ (Irish Republican Army) และเหตุการณ์ความไม่สงบต่าง ๆ ในไอร์แลนด์เหนือต่อเนื่องมาอีกเกือบ 20 ปี

There is nothing equivocal. There are no ambiguities. What happened on Bloody Sunday was both unjustified and unjustifiable. It was wrong.

ซอรี่ ซอรี่ ซอรี่ ...

แต่พูดซอรี่นี่ เดี๋ยวก็โดน เสียใจ แต่ไม่ขอโทษ ได้ :p

technorati tags: , ,

2010-02-16

subject: #GT200 and #sniffer

ต่อจากประชาธิปไตยแบบไทย ๆ เราก็มีคณิตศาสตร์แบบไทย ๆ :
13/20 = 100%

ผมเห็นว่า GT200 (เครื่องตรวจระเบิด, เขาอ้างว่าเป็น) และ sniffer (เครื่องดักฟังข้อมูลบนเครือข่าย) นั้นมีส่วนคล้ายกันในหลาย ๆ เรื่อง

ตั้งแต่เรื่องพื้น ๆ อย่างการจัดซื้ออุปกรณ์ราคาแพง ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะมีการเอื้อประโยชน์ตอบแทน ซึ่งเรื่องนี้กระทบรายจ่ายของประเทศ-ของเรา แต่อาจจะไม่ได้กระทบกับชีวิตเราตรง ๆ

เรื่องอุปกรณ์ไม่มีประสิทธิภาพตามอ้าง ซึ่งเรื่องนี้อาจจะกระทบชีวิต-ความปลอดภัย-ของเราได้ตรง ๆ เช่น อุปกรณ์ตรวจจับที่ไม่มีประสิทธิภาพ ก็อาจทำให้ระเบิดเล็ดรอด ไปตูมตามได้

ไปจนถึงการเรื่องที่กระทบชีวิต-สิทธิเสรีภาพ-ของเราอย่างที่เราอาจจะคาดไม่ถึง คือ การใช้อุปกรณ์ วิทยาศาสตร์ เหล่านี้ ในการสร้างความชอบธรรมแก่เจ้าหน้าที่ในการควบคุมหรือตรวจค้นเป้าหมาย (ที่อาจถูกหมายหัวเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว) โดยไม่ต้องขอหมายค้นหรือคำสั่งศาล โดยอ้างว่า มีเหตุอันเชื่อได้ว่า เราทำผิดอะไรซักอย่าง ตามแต่เครื่องมือนั่นจะบ่งชี้ ... อย่างดีก็แค่รบกวนการดำเนินชีวิต อย่างชั่วก็ยัดข้อหา (โดยมนุษย์หรือโดยอุปกรณ์) อย่างชั่ว ๆ ดี ๆ ก็อาจจะต่อรองกันได้ เป็นช่องทางหากิน ... ในภาคใต้ของไทยเอง มีคนจำนวนมากถูกจับกุมหรือขึ้นบัญชีเพราะ GT200 ชี้(เดา)ว่าพวกเขามีระเบิด

ในเรื่องสุดท้ายนี้ GT200 และ sniffer มีความเหมือนกันอย่างมาก และมันแสดงถึงความไม่ต้องการดำเนินตามขั้นตอนกฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐจำนวนหนึ่ง (ซึ่งน่ากลัวว่า ถ้าจำนวนหนึ่งนี้ เป็นจำนวนมาก)

พวกเขาคิดว่า หมายค้น หรือ คำสั่งศาล เป็นเรื่องยุ่งยาก ไม่ควรต้องมี พวกเขาต้องการตรวจค้น ควบคุม จับกุม โดยทันที - โดยอาศัยสัญชาตญาณของพวกเขาเอง โดยการตัดสินของพวกเขาเอง - โดยไม่ต้องการการถ่วงดุลหรือคานอำนาจใด ๆ ตามกระบวนการยุติธรรม (พูดกันง่าย ๆ ว่า ศาลเตี้ย)

...

ผมพบว่า เวลาผมไปติดต่องานกับสถานที่ราชการ เจ้าหน้าที่ต่าง ๆ นั้น จะเคร่งครัดกับกฎระเบียบขั้นตอนต่าง ๆ ที่พวกเขาตั้งขึ้นอย่างมาก

แต่ก็ตลกดี ว่าเมื่อถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องทำตามกฎระเบียบขั้นตอนบ้าง พวกเขากลับไม่อยากทำ และพยายามหาช่องทางที่จะไม่ต้องทำ

ในแง่นี้ ผมจึงคิดว่าสถานะของ ประชาชน อย่างเรา ๆ และ เจ้าหน้าที่รัฐ (ข้าราชการ/ข้ารัฐการ) นั้นต่างกันอย่างชัดเจนจริง ๆ — คือมันมีกฎหมายจำนวนมากมาย ที่พวกเราจำเป็นต้องขึ้นกับ/ปฏิบัติตาม (subjected to) โดยไม่มีเงื่อนไข ในขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐ กลับมีช่องทางหรือสามารถสร้างช่องทางที่จะไม่ต้อง subjected to กฎหมายพวกนั้นได้

เมื่อพิจารณาเช่นนี้ ก็ไม่แปลกอะไร ที่ในสถานการณ์บางอย่าง ภายใต้กฎหมายต่าง ๆ ดังกล่าว พวกเราจึงไม่ได้มีสถานะเป็น ประชาชน แต่เป็น ไพร่ (subject) — คือมีแต่พวกเราเท่านั้นที่ subjected to กฎต่าง ๆ เหล่านั้น ส่วนเจ้าหน้าที่รัฐนั้นจะอยู่เหนือกฎหมายที่ว่า — เป็นเจ้าในทางกฎหมาย ที่อยู่เหนือไพร่ในทางกฎหมายอย่างพวกเรา

ความเป็นเจ้าในทางกฎหมายนี้ อาจสร้างได้หลายวิธี แต่ในกรณีล่าสุดนี้ มันก็ดูตรงไปตรงมาดี ที่ความเป็นเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์ มีอำนาจเหนือกฎหมาย จะถูกสร้างขึ้นโดยอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ เช่น GT200 :)

ประเด็นที่ยังน่าสงสัยคือ ถ้าเครื่องจีที 200 ไม่มีประสิทธิภาพเลย เครื่องไม่น่าจะตรวจพบสารประกอบระเบิด แต่ในการทดสอบยังตรวจพบถึง 4 ครั้ง ส่วนการตรวจ 16 ครั้งไม่พบสารระเบิด ซึ่งจำเป็นต้องหาข้อพิสูจน์ให้ได้
— พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม

technorati tags: , ,

2009-09-02

หนีตามกาลิเลโอ / ผู้มาก่อนกาล / ที่เมืองไทยไม่ต้องการ

หาก คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย ในสังคม คนดีเมืองไทยไม่ต้องการ ไม่ไหว ทางหนึ่งคือ หนีตามกาลิเลโอ ไปเป็น ยิปซี ร่อนเร่ เฮ็ดในสิ่งที่เซื่อ พิสูจน์ความเชื่อของตัว ... แต่ทุกอย่างไหม ที่ทำแบบนั้นได้ มีอะไรบ้างไหม ที่จำเป็นต้องสู้ที่นี่ สู้จากข้างใน

--

ข่าวเมืองไทยต้อนรับแสดงความยินดีกับ เภสัชกร กฤษณา ไกรสินธุ์ ทำให้ผมนึกถึงกลอนบทนี้:

พ่อสร้างชาติด้วยสมองและสองแขน
พ่อสร้างแคว้นธรรมศาสตร์ประกาศศรี
พ่อของข้านามระบือชื่อปรีดี
แต่คนดีเมืองไทยไม่ต้องการ

คุณจะทำดีทำเด่น ทำอะไรก้าวหน้าก็เถอะ ถ้ามันเข้ากับระบบเก่า ระบบที่มีอยู่เดิมไม่ได้ คุณก็จะไม่ได้รับการยอมรับ - โชคยังดี ที่ในโลกสมัยนี้ โอกาสในการออกนอกประเทศหนึ่งไปทำงานที่อื่น มันเปิดกว่าเดิม โดยเฉพาะถ้าเป็นงานที่ไม่ได้ติดกับพื้นที่ ทำให้คนที่ทำงานจริงจัง สามารถได้รับการยอมรับในที่อื่น แม้บ้านเกิดที่เขาอยากทำงานให้ จะไม่เหลียวแล (แต่ขอเฮด้วยตอนดังแล้ว)

--

ใน Another week of trying to comprehend fuzzy politics บทความโดย Tulsathit Taptim ในหนังสือพิมพ์ The Nation, September 2, 2009 (via @BangkokPundit) พูดไว้ได้น่าสนใจ ว่า ความผิด ของ จักรภพ เพ็ญแข และ ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล นั้นก็คือการที่พวกเขาใช้ชีวิตพ้นคนอื่น ๆ ไปล่วงหน้าไกลเกินไป guilty of living too far ahead in time

ผมนึกถึง จิตร ภูมิศักดิ์ ปัญญาชนนักปฏิวัติ ผู้ท้าทายความคิดจารีตทั้งในการศึกษาวรรณคดี ประวัติศาสตร์ นิรุกติศาสตร์ ศาสนา ปรัชญา และทฤษฎีการเมือง แต่ด้วยความเป็น ผู้มาก่อนกาล ของเขา สุดท้ายถูกรัฐเผด็จการรุกไล่ ต้องเข้าป่า และถูกยิงเสียชีวิตในวัยเพียง 36 ปี

ทุกวันนี้ งานของจิตรถือได้ว่าเป็นงานชุดสำคัญชุดหนึ่งที่บุกเบิกแผ้วทางให้กับวงวิชาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ไทย

ผมนึกถึง กาลิเลโอ กาลิเลอี นักคิดคนสำคัญในการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ ที่เชื่อว่าโลกนั้นไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ และดวงอาทิตย์ไม่ได้หมุนรอบโลก อย่างที่ศาสนจักรบอกให้เชื่อตามตัวอักษรของไบเบิ้ล สุดท้ายเขาถูกขับออกจากศาสนา และถูกกักบริเวณในบ้านจนกระทั่งเสียชีวิต

ทุกวันนี้ เราทุกคนทราบกันดีว่า ที่กาลิเลโอว่าไว้นั้น ไม่ผิด

--

ความผิดของคนเหล่านี้ ดูจะมีเพียงอย่างเดียวคือ พวกเขามากันเร็วเกินไป

พวกเขาอาจจะพูดสิ่งที่ถูก แต่เมื่อในเวลาที่เขาพูด คนในสังคมยังไม่อยากฟัง ถูกก็กลายเป็นผิดได้

หนีตามกาลิเลโอ อาจจะเป็นหนังที่ร่วมสมัยกว่าที่เราเห็นผาด ๆ



หนังสือไกด์บุ๊กเขาบอกไว้ เราไม่ควรทำให้ใครรู้ว่าเรากำลังหลงทาง ...

ฉันเกิดอยู่แดนอีสาน ถิ่นกันดารที่เขาดูหมิ่นดูแคลน จากไกลไปหากินต่างแดน ก็อาลัยแสนเมื่อจำต้องพรากบ้านมา ร่อนเร่พเนจรไป เหมือนนกไพรไร้พงพนา ...

เหี้ย ผมร้องไห้

We have come a very long way, but obviously the likes of Jakrapob and Da Torpedo remain unsatisfied. Yet if they are guilty of living too far ahead in time, what can be said about the 18-year sentence when murderers, rapists or big-time fraudsters are given less?

เรามากันไกลมากแล้ว แต่ก็เห็นกันอยู่ว่า คนอย่าง จักรภพ และ ดา ตอร์ปิโด นั้นยังไม่เป็นที่พอใจ. แต่ถ้าพวกเขามีความผิดเพราะใช้ชีวิตพ้นคนอื่น ๆ ไปล่วงหน้าเกินไป, แล้วจะพูดอะไรดีกับโทษ 18 ปี เมื่อฆาตกร นักโทษข่มขืน หรือพวกฉ้อโกงต้มตุ๋นรายใหญ่ กลับได้รับโทษน้อยกว่า?

technorati tags: , , , , , , , , ,

2009-08-22

อันล่วงละเมิดมิได้ the Untouchable ?

จาก ร่างพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา อีกหนึ่งกฎหมายที่ถูกดัน เข้าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งถูกตั้งขึ้นหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2552 (มีกฎหมายจำนวนมากถูกนำเข้าสนช.ในช่วงนั้น กฎหมายจำนวนมากที่ผ่านออกประกาศใช้จากการนำเข้าพิจารณาในช่วงนั้น เป็นกฎหมายที่ในเวลาปกติน่าจะผ่านออกมาลำบาก จะต้องมีการอภิปรายหรือถูกตรวจสอบจากสังคมอย่างมากแน่) มีอยู่ร่างหนึ่งจาก พ.ศ. 2551 มีมาตรานี้:

มาตรา 40 ผู้ใดโฆษณาหรือไขข่าวด้วยประการใด ๆ ด้วยภาพ ตัวอักษร หรือข้อความที่ทำให้ปรากฏ ไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ หรือกระทำการกระจายเสียงหรือกระจายภาพ หรือกระทำการป่าวประกาศโดยวิธีอื่นเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พระภิกษุ สามเณร บรรพชิต หรือแม่ชี อันเป็นเหตุให้เกิดความเสื่อมเสียหรือเสียหายต่อพระพุทธศาสนา หรือเป็นเหตุให้พระภิกษุ สามเณร บรรพชิต หรือแม่ชี แล้วแต่กรณี เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ปัจจุบัน ร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว มีหลายร่างจากหลายองค์กร ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่เว็บ phrathai.net หลายมาตราถูกเพิ่มเข้าเอาออกหรือแก้ไข อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ามาตรา 40 อย่างในร่างข้างต้น สุดท้ายจะไปโผล่ในกฎหมายฉบับจริงหรือไม่ แต่มันก็สะท้อนได้ว่า มีคนคิดเรื่องแบบนี้อยู่

ประเทศนี้ ห้ามวิพากษ์วิจารณ์อะไรทั้งสิ้น ห้ามเปลี่ยนแปลง ห้ามแตะต้อง

พอพิมพ์คำว่า ห้ามแตะต้อง เราก็นึกถึงคำว่า untouchable ซึ่งหมายถึงวรรณะจัณฑาลในอินเดียและเอเชียใต้ ในสังคมวัฒนธรรมเอเชียใต้นั้น ถือว่าวรรณะจัณฑาลเป็นวรรณะที่ต่ำที่สุด คนวรรณะอื่นจะไม่ข้องแวะข้องเกี่ยวด้วย ก็เลยเป็นที่มาของคำว่า the untouchables

แนวคิดเรื่อง แตะต้องไม่ได้ เพราะจะทำให้เสียความบริสุทธิ์ ความศักดิ์สิทธิ์ ก็ทำให้นึกถึงบทความเกี่ยวกับพิธีกรรมและความเชื่อ ที่เราอ่านไปนิดหน่อยเมื่อเดือนที่แล้ว ชื่อ Scapegoats: The Killings of Kings and Ordinary People โดย Declan Quigley (Journal of the Royal Anthropological Institute. Volume 6 Issue 2, หน้า 237-254) เรารู้สึกว่าน่าสนใจมาก อยากจะหาเวลาอ่านทั้งหมดละเอียด ๆ อีกที

Quigley เขาศึกษาสังคมกลุ่มหนึ่งในแอฟริกา ส่วนหนึ่งของบทความพูดถึงแนวคิดสองแบบของคอนเซปต์ king (ซึ่งเรานึกไม่ออกว่าจะแปลยังไง มันไม่จำเป็นต้องเป็น กษัตริย์ แบบที่เราเข้าใจกันทั่วไป ก็ขอคงไว้ละกัน) แบบแรกคือ king เป็นบ่อเกิดความอุดมสมบูรณ์สงบสุขอะไรต่าง ๆ มาสู่แผ่นดิน แบบหลังคือ king เป็นเหมือนบ่อรับที่ดูดเอาความชั่วร้ายต่าง ๆ เข้าไว้กับตัว เพื่อที่แผ่นดินจะได้สงบสุข ทั้งสองแนวคิดที่เหมือนกันก็คือ king ทำให้แผ่นดินอุดม ที่ต่างคือวิธี และแนวคิดทั้งสองแบบสามารถนำไปสู่การ ฆ่า king ได้ (ซึ่งผมคิดต่อไปว่า อาจจะเป็นเพียงการฆ่าในทางพิธีกรรมก็ได้ ไม่ได้ตายจริง ๆ อาจจะพอเทียบคล้าย ๆ กับที่ไปนอนในโลงศพสะเดาะเคราะห์) เมื่อ king ที่เป็นบ่อเกิดไม่สามารถปล่อยหรือแผ่ความอุดมออกมาจากตัวได้แล้ว หรือ king ที่เป็นบ่อรับนั้นเต็มแล้ว ดูดอะไรเข้าไปไม่ได้แล้ว ก็มีความจำเป็นต้อง ฆ่า king เสีย เพื่อรักษา kingship (แปลเอาว่า ระบบ king ก็น่าจะได้) เอาไว้ (น่าจะเป็นที่มาของชื่อบทความ scapegoat ที่หมายถึง แพะรับบาป) แล้วก็มี king คนใหม่ขึ้นมาแทน วนแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ซึ่ง Quigley ก็บอกว่า เอ้อ แนวคิดแบบนี้ ลองเอามาทำความเข้าใจเรื่องวรรณะในเอเชียใต้ก็น่าจะได้นะ

กลับมาที่ร่างพ.ร.บ. เราว่าถ้ามันออกมาจริง ๆ จะลำบาก จะมีคนเดือดร้อนกันเยอะแน่ เรา ๆ ท่าน ๆ ที่ไม่เคยคิดจะด่าพระก็เดือดร้อนกันได้

ยังไง? บ้านหลายคนอยู่บนที่วัด เช่าวัด วัดก็เป็นนิติบุคคล มีที่ดิน และก็มีการใช้ประโยชน์บนที่ดินนั้นในทางต่าง ๆ รวมถึงเพื่อธุรกิจด้วย (เพื่อหารายได้เข้าวัด โดยให้เหตุผลว่าเพื่อทำนุบำรงศาสนา) โดยทั้งที่วัดทำเอง ผ่านมูลนิธิของวัด ผ่านคณะกรรมการของวัด หรืือกลุ่มคนหรือบริษัทที่วัดมอบหมาย ซึ่งก็เหมือนกับการทำธุรกรรมธุรกิจทั่วไปทุกอย่าง มันสามารถมีเรื่องขัดแย้งกันได้ ผิดสัญญาซื้อขาย ผิดสัญญาเช่า ไล่ที่ ฯลฯ ... ปัญหาคือ ถ้ามีกฎหมายข้างบนนั่นจริง ๆ บุคคลจะฟ้องร้องพระหรือวัดได้ไหม ? หรือในการต่อสู้ทางสังคม การรณรงค์ต่าง ๆ จะเผยแพร่ข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดเกี่ยวกับพระหรือวัดได้ไหม ? หรือสื่อจะเสนอข่าวเกี่ยวกับคดีดังกล่าวได้ไหม ? ถ้าเกิดพระท่านว่ามันทำให้ท่านถูกเกลียดชังล่ะ ?

พระดี ๆ ท่านก็มีเมตตา แต่ก็อย่างที่เรารู้กัน พระห่วย ๆ ก็มีให้เห็นบนหน้าหนังสือพิมพ์มากมาย

โอ้ ต่อไปหนังสือพิมพ์จะลงข่าวพระเสีย ๆ หาย ๆ ได้ไหมนี่ ?

เดี๋ยวจะถูกข้อหา หมิ่นพระ นะ

การไม่มีข่าวเสียหายเกี่ยวกับพระลงหนังสือพิมพ์ จะทำให้พระศักดิ์สิทธิ์ขึ้น ?

ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ก็แปลว่าไม่มี ... แบบนี้ก็ง่ายดีเหมือนกัน

technorati tags: , , , , , ,

2009-08-09

หวัด 2009 และ อคติในการยกตัวอย่าง

ช่วงนี้ หวัด 2009 ระบาด รักษาสุขภาพด้วย หลีกเลี่ยงการเอามือมาสัมผัส ตา จมูก ปาก (ทีโซน T-zone) — ลดเสี่ยงทั้งหวัด ทั้งสิว

สิ่งที่งานสาธารณสุขห่วงตอนนี้ ไม่ใช่ว่ากลัวมันระบาด มันระบาดไปแล้ว ไม่ต้องกลัว ที่กลัวคือกลัวคนเป็นพร้อม ๆ กันเยอะ ๆ แล้วไปโรงพยาบาลพร้อม ๆ กันคราวเดียว โรงพยาบาลจะรับไม่ไหว คนป่วยโรคอื่น ๆ ก็กระทบไปด้วย เจ้าหน้าที่และทรัพยากรไม่เพียงพอที่จะรับ peak แบบนั้น แต่ถ้าชะลอการติดเชื้อออกไปได้ ให้มันเกลี่ย ๆ ไม่เป็นพร้อม ๆ กันหมด ระบบสาธารณสุขก็จะรับมือไหว

มีอาการ คิดว่าเป็นหวัด หยุดอยู่บ้านเลย ไม่ต้องใส่หน้ากากออกมาเพ่นพ่าน

รับข่าวสารได้ทางทวิตเตอร์ @flu2009th และเว็บไซต์ www.flu2009thailand.com

...

มีโอกาสไปได้ยินผู้บริหารระดับสูงขององค์การที่เกี่ยวข้องกับสุขภาวะ แสดงความห่วงใยเรื่องดังกล่าว ขอความร่วมมือให้ช่วยกัน ... ก็น่ายินดี มีอะไรช่วยเหลือได้ก็แน่นอน จะทำเต็มที่

อย่างไรก็ตาม ก็ติดขัด ติดหู ติดใจอยู่นิดหน่อย เรื่อง การยกตัวอย่าง

เขาพูดถึงเรื่องการแพร่กระจายของเชื้อหวัด อายุของเชื้อที่ติดอยู่กับพื้นผิวต่าง ๆ หลังการไอจามหรือสัมผัส ซึ่งก็จะมีอายุ 2-8 ชั่วโมง ต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม ถ้ามีแสงสว่าง อากาศถ่ายเท เชื้อก็อยู่ได้สั้นหน่อย 2 ชั่วโมง (ซึ่งก็ยังทำให้แพร่กระจายได้มากอยู่ดี)

เขายกตัวอย่าง สถานที่มืดและชื้น เช่น ผับ บาร์ ... โดยไม่ได้พูดถึง โรงหนัง ที่ก็มืด วัด ที่โบสถ์หลายแห่งก็ทั้งมืดทั้งชื้น (ภาพจิตรกรรมฝาผนังในวัดหลายแห่ง เสียหายจากความชื้น)

เขายังยกตัวอย่าง การติดเชื้อจากการสัมผัส (แล้วมือที่สัมผัสไปโดนตาจมูกปากต่อ) เช่นผ่านคียบอร์ด และยกตัวอย่าง ร้านเน็ต ... โดยไม่ได้พูดถึง โรงเรียน ออฟฟิศ ฯลฯ

ในวงเดียวกัน มีหัวหน้าห้องคนทำเว็บ ยกตัวอย่างสถานที่แออัดซึ่งก็มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น ม็อบ ที่ชุมนุม ... โดยไม่ได้พูดถึง ห้างสรรพสินค้า ตลาด .. วัด (ทำบุญ 9 วัดนี่แหละ ทั้งแออัด ทั้งชื้น ทั้งเพลียร่างกายอ่อนแอ) ฯลฯ

พวกเขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้รู้สึกอะไร

ผมก็เพียงว่างไปหน่อย ดันรู้สึก อยากจะทักท้วงหน่อย เพราะรู้สึกว่ามันเป็นการยกตัวอย่างที่ไม่แฟร์เท่าไหร่

อาจจะใช่ว่า ผับ บาร์ ม็อบ หรืออะไรต่าง ๆ มันดู อันตราย ไม่จรรโลงศีลธรรมอันดีงามที่คนจำนวนหนึ่งยึดถือ ... แต่ในบริบทของการ เฝ้าระวัง/ป้องกันโรค ผมว่ามันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับสถานที่อื่น ๆ สถานที่ชุมชนคนพลุกพล่าน มันก็เสี่ยงพอ ๆ กันทั้งนั้น ไม่ได้มีอะไรมากน้อยกว่ากันเสียเท่าไหร่

การยกตัวอย่าง จึงควรจะเป็นไปอย่างเป็นธรรม เอากันอย่างแฟร์ ๆ หน่อย โดยเฉพาะถ้าการยกตัวอย่างนั้น จะเผยแพร่ออกสื่อสารมวลชน ออกพิมพ์โฆษณาเป็นจำนวนมาก

การยกตัวอย่างแบบเอียง ๆ นอกจากจะไม่แฟร์กับผู้ประกอบการจำนวนหนึ่ง ด้วยการตอกย้ำอุดมการณ์ตอกย้ำภาพเอียง ๆ จนภาพของสถานที่เหล่านั้นกลายเป็นสถานที่อันตรายไม่ควรข้องแวะ แล้ว ยังเป็นอันตรายกับประชาชนโดยทั่วไปอีกด้วย เพราะอาจทำให้เข้าใจผิดได้ว่า สถานที่ประเภทอื่น ๆ (ที่ไม่ใช่สถานที่ อโคจร) ที่ไม่ได้ยกตัวอย่างถึงนั้น ปลอดภัย

ทั้งจะกลายเป็นว่า ยกเอา หวัด 2009 มาเนียน ขู่ไม่ให้คนไปม็อบ ขู่ไม่ให้คนเที่ยวผับ

ซึ่งคงไม่ใช่อย่างที่พวกเขาตั้งใจ

ก็นำมาบันทึกเอาไว้ เล่าสู่กันฟังเพียงเท่านี้ว่า เวลายกตัวอย่างอะไร พวกเราน่าจะระมัดระวังด้วย ไม่สร้างภาพ วาดอคติ ป้ายสี ให้กับสิ่งใดกลุ่มใด จากการยกตัวอย่างของเรา

ไม่ต้องมีเรา ก็มีคนเยอะแยะวาดกันจนเปรอะไปหมดแล้วครับ ไม่ต้องห่วง

technorati tags: , ,

2009-07-25

@thaksinlive + more

อภิสิทธิ์และหลายคนมีแล้ว แต่ยังไม่มัน รอตัวพ่อมาก่อน

ตอนนี้มีข่าว Twitter กับ Facebook เยอะแยะเลย ด้วยความตื่นเต้นตกใจกับ thaksinlive ที่เขาว่าเป็นช่องทางสื่อสารใหม่บนสื่อใหม่ ของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

ซึ่งก็พบว่า มีแอคเคานท์ในที่ต่าง ๆ มากกว่าที่ปรากฏในข่าว:

เว็บไซต์ www.thaksinlive.com
ทวิตเตอร์ @thaksinlive
เฟซบุ๊ค www.facebook.com/thaksinlive
ไฮไฟว์ thaksinlive.hi5.com (ไม่มีอะไรเลย)
สไครบ์ด (เอกสาร) www.scribd.com/thaksinlive
ยูสตรีม (ออกอากาศภาพและเสียง) www.ustream.tv/channel/thaksinlive (ผู้ใช้ www.ustream.tv/thaksinlive)
บล็อก thaksinlive.blogspot.com

ไม่รู้ว่า อันไหนทักษิณตัวจริงทำ อันไหนทีมของตัวจริงทำ หรือ อันไหนทำโดยคนที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรเลย (เพื่อผลบวกหรือลบก็ว่าไป)

ใครพูดถึง thaksinlive บ้าง ? ใน ทวิตเตอร์, บล็อก, เว็บ

technorati tags: , ,

2009-04-28

The Condition of Free Culture

(เงื่อนไขสู่วัฒนธรรมเสรี)

ขอคิดต่อจากพี่เทพ

...

เป็นไปได้ว่า เหตุหนึ่งที่ free culture หรือ วัฒนธรรมเสรี นั้นยังไม่แพร่หลายหรือไปไม่ถึงไหนในบางสังคม ก็เพราะ วัฒนธรรมในสังคมนั้น ๆ ไปกันไม่ได้กับแนวคิด เสรี เป็นพื้นฐานของวัฒนธรรมเสรี

...

เสรี = ไม่ต้องขออนุญาต

คุณสมบัติหลักของ สัญญาอนุญาตแบบเปิด (open licenses) ก็คือ การผู้นำไปใช้ไม่ต้องขออนุญาตผู้ถือครองลิขสิทธิ์

เพียงผู้นำไปใช้ ตกลงยินดีที่จะทำตามเงื่อนไข ที่ทางผู้ถือครองลิขสิทธิ์ประกาศเอาไว้แล้ว-อย่างชัดแจ้ง-ต่อสาธารณะ เขาก็มีสิทธิจะใช้งานนั้นในทันที

สิ่งนี้แปลว่า ถ้าคุณทำตามกติกาเดียวกัน ข้อตกลงเดียวกัน คุณก็จะได้รับการปฏิบัติเหมือน ๆ กัน

แต่สิ่งง่าย ๆ แบบนั้น ก็อาจจะเป็นเรื่องลำบากในสังคมหลายมาตรฐาน ที่กติกาเดียวกันก็มักจะให้ผลกับคนกลุ่มต่าง ๆ ต่างกัน

...

เป็นไปได้เช่นกันว่า เหตุหนึ่งที่วัฒนธรรมเสรี นั้นถูกเข้าใจเพี้ยน ๆ ไป เช่นว่า เสรี ก็คือ ให้ใช้ฟรี แค่ขออนุญาตกันก็พอ นั้นก็เพราะ ความมี ความเป็น authority เป็นเรื่องสำคัญในสังคมนั้น หรือ สังคมนั้นโน้มเอียงไปทางสังคมอุปถัมภ์

ความจำเป็นต้องอนุญาต นั้นแปลว่า จะยังต้องมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด มีอำนาจมากกว่าอีกฝ่ายเสมอ นอกจากนี้มันยังมีแง่มุมของการรวมศูนย์ (centralized) สู่ผู้ให้อนุญาต

ผู้ให้อนุญาตนี้เอง ที่จะเป็นผู้มีสิทธิ์ขาดตัดสินว่า อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ — ซึ่งสิ่งนี้เช่นกัน ก็ไปกันไม่ได้กับเรื่อง ถ้าทำตามกติกาเดียวกัน ก็ควรรับผลเดียวกันเสมอกัน

เพราะความมี ความเป็น authority ที่ใหญ่กว่ากติกานั้น พูดง่าย ๆ ก็คือสิ่งที่เรียกว่า ฉันคือกฎ

อยากจะอนุญาตคนนี้ แต่ไม่อนุญาตคนนั้น มีอะไรไหม ?

...

เสรี != (ไม่เท่ากับ) ไม่ต้องเสียเงิน

ดังที่ได้กล่าวไป การที่ผู้ใช้นำงานในสัญญาอนุญาตแบบเปิดไปใช้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ก็เพราะเขาได้ทำตามกติกาที่ทั้งตัวเขาเองและผู้ถือครองลิขสิทธิ์ต่างก็พอใจ

สิ่งนี้คือการแลกเปลี่ยนบนฐานของความพอใจและสมัครใจของทั้งสองฝ่าย — เราอาจเรียกสิ่งนี้ว่าความเกื้อกูลระหว่างกันได้ แต่ที่แน่นอนคือ มันไม่ใช่ความเมตตา ไม่ใช่การทำบุญ ไม่ใช่การให้ทาน และไม่ใช่เรื่องบุญคุณ

(ทัศนคติของ องค์กรที่ บริจาค โค้ดเป็นโอเพนซอร์สแก่สาธารณะและให้ชุมชนมาร่วมทำงานด้วย กับ องค์กรที่ ส่งต่อ โค้ดเป็นโอเพนซอร์สแก่สาธารณะและเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนในการทำงาน จึงเป็นสองทัศนคติที่แตกต่างกันอย่างมาก)

ความสัมพันธ์ระหว่าง ผู้นำงานไปใช้และผู้ให้ใช้งาน ในวัฒนธรรมเสรี จึงเป็นไปในลักษณะเท่าเทียมเสมอกัน นั่นคือ ต่างก็เป็น peer กัน แลกเปลี่ยนกันในฐานะความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกัน

ซึ่งความเป็น peer ที่เสมอกันนี้เอง ที่ก็ไปกันไม่ได้อีก กับเรื่อง authority หรือความสัมพันธ์แบบมีระดับ (client/server, master/slave, ...)

ความต้องการสร้างบุญคุณบารมี และ อำนาจในการอนุญาต (อย่างรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม) จึงอาจจะเป็นอีกเหตุ ที่แนวคิดเสรี ใน วัฒนธรรมเสรี อาจจะไปกันไม่ได้กับ สังคมอุปถัมภ์ และ สังคมลำดับชั้น

...

เช่นนี้แล้ว ในทางหนึ่ง ขบวนการวัฒนธรรมเสรี (free culture movement) จึงอาจจะจำเป็นอยู่เอง ที่นอกเหนือจากความพยายามในการปฏิรูประบบทรัพย์สินทางปัญญาให้มีความเป็นธรรมเสมอภาคขึ้นกว่าเดิมหรือสร้างทางเลือกใหม่ เช่น เนื้อหาแบบเปิดต่าง ๆ แล้ว ก็อาจต้องเข้าร่วมกับการปฏิรูปสังคมโดยรวม เพื่อผลักดันสภาพของสังคม ให้เอื้อกับ แนวคิด เสรี ด้วย

เพราะตัววัฒนธรรมเสรีนั้นไม่ได้อยู่อย่างลอย ๆ หากสัมพันธ์โต้ตอบต่อรองกับวัฒนธรรมอื่น ๆ ในสังคม การเกิดและดำรงอยู่ของวัฒนธรรมเสรีจึงจำเป็นต้องมีสภาพที่เอื้อให้มันทำเช่นนั้นได้

...

โลกอีกแบบนั้นเป็นไปได้ แค่เปิดฝา แล้วก็แฮ็กมัน

technorati tags: , , ,

2009-04-19

on the flip side of Hero

ไม่ว่าการพยายามฆ่าหรือจองล้างจองผลาญ ทักษิณ องคมนตรี หรือ สนธิ ก็น่าหดหู่พอกัน เพราะมันหมายความว่า ในสังคมเรายังมีคนคิดว่า การกำจัดคนหนึ่งคนออกไป จะสามารถแก้ปัญหาอะไรได้

แต่ความคิดนี้คงไม่แปลกอะไร ในสังคมง่อยเปลี้ย-ธุระไม่ใช่-ไม่ยอมช่วยเหลือตัวเอง ที่เรียกหา ฮีโร่-พระเอกขี่ม้าขาว อยู่ตลอดเวลา (ไม่ว่าจะในรูปผู้นำเผด็จการอันเข้มแข็ง ราชาผู้ทรงธรรม กำนันผู้อาทร หรือคณะรัฐประหารผู้เมตตา) ก็คงจำเป็นอยู่เอง ที่พวกเขาจะต้องสร้างด้านตรงข้าม ตัวโกง-ผู้ร้ายมีเขาแหลมในผ้าคลุมสีดำ ให้เป็นต้นเหตุแห่งความชั่วร้ายทั้งปวง เพื่อผ่อนคลายย้ายเทความผิดบาปให้พ้นไปจากตัวพวกเขา

ฉันไม่ผิด มันผิด
ฉันกลัว ไม่อยากยุ่ง ฮีโร่ ช่วยฉันที

หนังซูเปอร์ฮีโร่ที่เต็มโรงตอนนี้ อาจจะบอกภาวะอะไรบางอย่างของสังคม

แต่อย่าลืมว่า เมื่อยอดมนุษย์เข้าตาจนเปลี่ยนใจ อะไรจะรับประกัน ว่าเขาจะไม่กลายเป็นผู้ร้ายเสียเอง ? อะไรจะรับประกัน ว่ายอดมนุษย์จะไม่กลายเป็นผู้ร้ายเสียเอง ?

จอม เพชรประดับ: นับจากนี้ไป “ประเทศไทย” จะไม่เหมือนเดิม

technorati tags: , ,

2009-03-25

Bangkok Post: Taking time to consider lese majeste law

Report from the seminar last weekend, from today (2009.03.25)'s Bangkok Post http://www.bangkokpost.com/opinion/opinion/13931/taking-time-to-consider-lese-majeste-law

(More from this seminar at Prachatai (English): Seminars recount lese majeste law fears, Lese Majeste: Differences of legal opinion aired at forum on defamation of royalty)


Thailand: Monarchy and Democracy

Taking time to consider lese majeste law

by Atiya Achakulwisut, Bangkok Post, 25 Mar 2009

The controversy over the lese majesty law and how it has been used ostensibly for political gains has prompted a group of academics to petition the Abhisit government to "reform" the legislation.

Before anything can be done, however, there is arguably a need to understand the issue better, from all angles.

That is why a seminar was held last week at Thammasat University on the many dimensions of the lese majeste law. One of the topics discussed was the role of the monarchy in democracy.

Citing an interview His Majesty King Bhumibol Adulyadej granted the BBC in 1979, in which he said, Monarchy in this country has always been on the move, one of the seminar's speakers, Tongthong Chandrangsu, emphasised that the role and expectation of the monarchy in Thailand has constantly evolved.

While it is true that the landmark change to the institution of monarchy was the 1932 Revolution which ended absolute monarchy in Thailand, Mr Tongthong, former deputy permanent secretary for justice, argued that the Thai monarchy had evolved along with the changing world since the reign of King Rama IV and V.

His Majesty King Bhumibol has the most experience with democracy - 63 out of the 77 years that the country has been under the regime.

The role of the monarchy during the initial years, when the King had just come back from overseas and the country had a seasoned Prime Minister, Field Marshal Pibulsongkram, was different from that during the tenure of Field Marshal Sarit Thanarat or at present when His Majesty's experience and charisma has grown, Mr Tongthong said.

When it comes to the Crown's relationship with mechanisms of democracy, the government, Parliament and the court, Mr Tongthong said that as the Thai constitutional democracy is modelled after the British one, the institution very much exercises the similar right to be consulted, to advise and to warn.

The dilemma is that a government is liable to public opinions, which can be positive or negative. For a government to consult the monarchy is thus a private matter that should be kept confidential. That is a duty of the government, Mr Tongthong said.

Prominent historian Nidhi Eoseewong referred back to the watershed 1932 Revolution and the resulting status of the monarchy according to the Constitution, which he believes remains debatable.

One stream of thinkers regarded sovereignty as belonging to the Thai people. According to this way of thinking, "constitutional monarchy" is thus considered a new entity that is no longer part of absolute monarchy which had existed before King Rama VII signed his name to the country's first Constitution.

The other group interpreted the 1932 change as the monarchy allowing the Thai people to exercise sovereignty. According to this school of thought, if a constitution is aborted, the sovereignty returns to the King.

Prof Nidhi noted, however, that both the 1932 revolutionaries and the leaders after that recognised the importance of the monarchy. They never considered republicanism as an option for the country's governing regime.

With a new set of "powers" coming in between the monarchy and the public, deriving either from elections or the barrel of a gun after 1932, there is no question that the institute of monarchy had to change. But how?

According to Prof Nidhi, what should be the institution's role in politics has been a subject of argument since 1932 up to the present, evidently with no clear resolution.

The other question which the historian thinks has yet to be resolved is: Where is the proper line between what he terms a "sacred" and a public space.

He defines the sacred space as areas that are not open to the general public to partake, criticise or change without facing a penalty.

Naturally, when the sacred space is enlarged, it encroaches on the public space, Prof Nidhi said. He added that Thai society still seems unable to find where the appropriate line should be. He also cautioned that as society is never static, it is quite possible that the so-called appropriate line will not stay at the same place all the time, either.

Looking back in history, Prof Nidhi said there was an attempt to rearrange the sacred/public areas through an amendment to the Criminal Code which was enacted during the period of absolute monarchy.

The amended Criminal Code of 1946 made a distinction between the King and the institution of the monarchy as well as limited the protection to the King, Queen, Crown Prince and Regent. Still, an application of the law - the fact that accusations can be made by anybody in public space - leaves a lot of room for abuses that are not beneficial to the Crown.

Political scientist Kasian Tejapira said one implication of the 1932 Revolution was the shift of support for monarchy from state coercion to popular consent. In this light, people who propose that the state employ more coercive means to protect the institution may end up eroding the consensual support that has so far protected the monarchy better than any iron wall, without realising it.

Like Prof Nidhi, Mr Kasian said that the change to a constitutional monarchy in 1932 was a "historic compromise" between King Rama VII and the People's Party.

It was a consensus that the Thai nation would not return to absolute monarchy nor would it want to embrace republicanism. This is a done deal in the Thai history.

In this perspective, any attempt to return sovereignty to the King, petition His Majesty to appoint a prime minister or stage a coup d'etat, is an effort to undo that historic compromise. It is tantamount to asking Thai society to make a decision again regarding whether the King is above or under the Constitution, or to whom does sovereignty belong?

Mr Kasian believes that while the Thai authorities should listen and take into account opinions of the international community regarding the lese majeste law, the right to retain or change the legislation remains ours.

Hence, we can manage to take the time to consider the issue carefully.

However, he warned that since the country's ruling elite have faced dramatic changes and severe conflicts for a long time, they have developed anxiety and fear, which can turn into paranoia. These feelings are not healthy. Indeed, they could be downright dangerous if they got out of control, Mr Kasian said.


technorati tags: , , ,

2009-01-21

แบบสำรวจ "สิทธิเสรีภาพในอินเทอร์เน็ต" - An Online Survey on Internet Rights and Freedom

เชิญร่วมตอบแบบสอบถาม เรื่อง
“สิทธิเสรีภาพในการใช้งานอินเทอร์เน็ต”

เพื่อสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพในการใช้งานอินเทอร์เน็ต ความคิดเห็นต่อการดูแลอินเทอร์เน็ต และอิทธิพลของอินเทอร์เน็ตในชีวิตประจำวัน — แบบสอบถามใช้เวลาทำประมาณ 7 นาที

http://bit.ly/netfreedom-q

ผลสำรวจจะถูกนำเสนอในงานเสวนา “การเมืองกับโลกออนไลน์” (ดูรายละเอียดด้านล่าง)


เสวนา “การเมืองกับโลกออนไลน์”

วันเวลา: อาทิตย์ที่ 25 มกราคม 2552 13.00-16.00น.
สถานที่: สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ตรงข้ามโรงพยาบาลวชิระ ถนนสามเสน (แผนที่: http://tja.or.th/map.jpg, เว็บไซต์: http://tja.or.th/)

เป้าหมาย: เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างผู้สนใจในการนำอินเทอร์เน็ตและสื่อใหม่ มาเป็นเครื่องมือในการช่วยผลักดันนโยบายจากภาคประชาชน การตรวจสอบนักการเมืองและพรรคการเมือง ส่งเสริมสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็นและการมีส่วนร่วมในประชาธิปไตยบนอินเทอร์เน็ต

รูปแบบงาน: เสวนากลุ่มย่อยระหว่างผู้สนใจ เน้นการมีส่วนร่วมของผู้เสวนา

กำหนดการ:

  • 13:00-13:30 “เสรีภาพในการแสดงความเห็นบนโลกออนไลน์” โดย เครือข่ายพลเมืองเน็ต (Thai Netizen Network)
  • 13:30-14:00 “การสำรวจความคิดเห็นด้านการเมืองของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตไทย” โดย Siam Intelligence Unit
  • 14:00-14:30 “เว็บไซต์ฐานข้อมูลนักการเมืองไทย” โดย Thailand Political Base และ ThaisWatch.com
  • 14:30-15:00 “การผลักดันนโยบายและไอเดียจากภาคประชาชนสำหรับกรุงเทพมหานคร” โดยทีม IdeaBangkok
  • 15:00 เป็นต้นไป แลกเปลี่ยนประสบการณ์การรณรงค์ด้านการเมืองผ่านอินเทอร์เน็ต โดย Young PAD และผู้ร่วมเสวนา

ภาคีร่วมจัด:

รายละเอียดเพิ่มเติม : http://tinyurl.com/online-politics

technorati tags: , ,

2008-12-15

accounting tool for (un)accountable business

rt @suntiwong
http://tinyurl.com/6zp3ed รายงานสด คะแนนโหวตนายก คะแนนต่อคะแนน

a Thai netizen uses free online tools to report today prime minister vote. Look at the vote summary at http://tinyurl.com/6zp3ed (Google Spreadsheet), and follow the minute-by-minute updates at http://twitter.com/suntiwong (Twitter).

ทำด้วย Google Spreadsheet, กระจายข่าวด้วย Twitter

technorati tags: , , , ,

2008-11-28

Questions to be answered - Dissolution then what ?

ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช: ขอประณามการกระทำของพันธมิตร

“ นอกจากนี้ ข้อเสนอของผู้บัญชาการทหารบกที่เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรียุบสภาและให้ พันธมิตรยุติการชุมนุมนั้น เป็นข้อเรียกร้องที่ไม่มีหลักประกันว่า

1. หากยุบสภาแล้ว พันธมิตรจะยุติการชุมนุมหรือไม่
2. หากยุบสภาแล้วพรรคพลังประชาชนได้รับเลือกตั้งเข้ามาอีกครั้ง พันธมิตรและผู้อยู่เบื้องหลังพันธมิตรจะยอมรับผลการเลือกตั้งโดยประชาชนหรือไม่
3. หากพันธมิตรไม่ยุติการชุมนุม ผบ.ทบ. จะทำอย่างไร

ประเด็นต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนเป็นคำถามที่ผบ.เหล่าทัพรวมทั้งบรรดานักวิชาการที่สนับสนุนพันธมิตรต้องตอบแก่ประชาชน มิใช่เพียงแค่มากดดันให้รัฐบาลยุบสภาอย่างเดียว ”

technorati tags: , ,

2008-11-25

Chulalongkorn Department of History Seminar 2/2551

(บล็อกไม่ค่อยได้อัป ก็แจ้งข่าวประชาสัมพันธ์ไปพลาง ๆ ก่อนนะครับ :p)

สัมมนาบัณฑิตศึกษา ภาควิชาประวัติศาสตร์ ภาคการศึกษาปลาย 2551

สถานที่ ห้อง 708 อาคารบรมราชกุมารี คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เวลา 13.00-16.00 น.

จันทร์ 24 พฤศจิกายน 2551
“สถานะทางความรู้ของหนังสือการเมืองภายหลังการปฏิวัติ 2475 (2475-2484)”
โดย ณัฐพล ใจจริง นิสิตระดับปริญญาเอก คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

จันทร์ 15 ธันวาคม 2551
“ประวัติศาสตร์และการเมืองของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์”
โดย ประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

จันทร์ 26 มกราคม 2552
“สถานะของพุทธศาสนาในสังคมไทย หลัง 14 ตุลา”
โดย มโน เมตตานันโท เลาหวณิช ประธานมูลนิธิ ชีวันตารักษ์ (ดูแลผู้ป่วยขั้นสุดท้าย) อดีตประธานชมรมพุทธศาสตร์และประเพณีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยฯ

จันทร์ 2 กุมภาพันธ์ 2552
“ประวัติศาสตร์นิพนธ์ พหุชนชาติ: มุมมองจากประวัติศาสตร์เวียดนามสมัยใหม่”
โดย ยุกติ มุกดาวิจิตร อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ไม่มีค่าลงทะเบียน
สอบถามเพิ่มเติมที่ ภาควิชาประวัติศาสตร์ โทร. 0-2218-4672

----

[โฆษณา] มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์

technorati tags: , ,

2008-11-06

oh your highness "highly educated" PAD

จากข่าว พันธมิตรฯ ฮุสตัน ต้อนรับ “หมัก” อบอุ่น, ผู้จัดการออนไลน์, 6 พ.ย. 2551 :

“... ทั้งนี้ เมืองฮุสตัน มลรัฐเทกซัสถือเป็นเมืองหนึ่งในสหรัฐอเมริกาที่มีพันธมิตรฯ หนาแน่นมากเมืองหนึ่งของสหรัฐอเมริกา โดยส่วนใหญ่เป็นชาวไทยที่มีการศึกษา เป็นเจ้าของกิจการหรือประกอบวิชาชีพเฉพาะ เช่น แพทย์ พยาบาล ทนายความ พนักงานบริษัท เป็นต้น

หรือพูดง่าย ๆ ว่า เป็นเมืองที่ไม่ค่อยมี “บาบูน” นั่นเองครับ (เหมาะแก่การอยู่อาศัยของพันธมิตรเป็นอย่างยิ่ง)

technorati tags: , ,