คำขวัญวันเด็ก สมมติประเทศ :
ทำได้หมดนี้ นับว่าเป็นเทพมาเกิด มีความย้อนแย้งในตัวสูงยิ่ง
technorati tags: Children's Day
คำขวัญวันเด็ก สมมติประเทศ :
ทำได้หมดนี้ นับว่าเป็นเทพมาเกิด มีความย้อนแย้งในตัวสูงยิ่ง
technorati tags: Children's Day
รายงานจากวิชา ขบวนการทางสังคม
เรียนเมื่อปีที่แล้ว
เทอมนั้นเป็นเทอมที่หนักที่สุด เพราะเทอมก่อนหน้านั้นเกรดห่วยจนติดโปร ก็เลยต้องลงทะเบียนเรียนมันซะ 4 วิชาเลย เพื่อดันเกรด แล้วต้องได้ทุกวิชา B+ อะไรแบบนี้ ถึงจะรอด สุดท้ายก็รอด แบบหืด ๆ (หลุดได้ B มาตัวนึง แต่รอดเพราะได้ A มาช่วยอีกตัว) เทอมนั้นเป็นเทอมที่สนุกดี ได้ไปลงสนามเล็ก ๆ น้อย ๆ (จากวิชานี้และอีกวิชาคือ วัฒนธรรมเมือง
) ได้พบกับคนที่ต่อสู้มาทั้งชีวิต และบอกว่า เอ็นจีโอแค่สนับสนุนก็พอ ชาวบ้านจะนำเอง (แปลว่า เอ็นจีโออย่าเสือกเยอะ
)
เลือกมาเลเชียกีนี เพราะว่ามันน่าสนใจดี ในฐานะที่ตัวมันเองก็เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงในสังคม ที่ต่อเนื่องมาจากขบวนการเคลื่อนไหว Reformasi
(ปฏิรูป) คือไม่ต้องมาบอกว่าสื่อต้องเป็นกลาง สื่ออย่าเลือกข้าง มาเลเชียกีนีก็พูดตรงไปตรงมา ว่าเขา เลือกข้าง
คืออยู่ข้างคนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ไม่ได้รับความยุติธรรมจากนโยบายของรัฐ แล้วก็ต้องการการเปลี่ยนแปลงการปฏิรูป แน่นอนว่าด้วยการวางตำแหน่งตัวเองแบบนี้ ก็ย่อมจะมีปัญหากับรัฐบาล กับกลุ่มที่จะเสียประโยชน์ แต่คนก็ให้ความเคารพมาเลเชียกีนีที่เขาเลือกจะ ไม่เป็นกลาง
แบบนี้ ไม่ต้องมาแอ๊บ
กรณีมาเลเชียกีนี ทำให้เราเห็นว่า สื่อต้องมีพันธกิจ มีฟังก์ชั่น มี contribution อะไรกับสังคม กับสาธารณะ ไม่งั้นก็ไม่รู้ว่าจะมีสื่อไปทำไม และสาธารณะจะให้ สถานะพิเศษ
กับสื่อไปทำไม
วิชานี้ได้อ่านงานสนุก ๆ เยอะดี โดยเฉพาะแนว cultural politics
btw ใครสนใจจะสมัคร ปริญญาโทและปริญญาเอก สังคมวิทยา มานุษยวิทยา ที่ท่าพระจันทร์ เขายังรับสมัครอยู่จนถึง 29 ธันวา นี้นะ
สื่อและขบวนการทางสังคมในมาเลเซีย: กรณีศึกษา หนังสือพิมพ์มาเลเซียกีนีรายงานวิชา ขบวนการทางสังคม
ภาคการศึกษา 1/2552 หลักสูตรสังคมวิทยาและมานุษยวิทยามหาบัณฑิต สาขาวิชามานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อาจารย์ผู้สอน: นลินี ตันธุวนิตย์) – 19 ต.ค. 2552 (ปรับปรุงเล็กน้อยเพื่อเผยแพร่ 25 ธ.ค. 2553)
technorati tags: Malaysiakini, Malaysia, media, politics, social movements
สารคดีสั้น ว่าด้วย ผีตองเหลือง
ผู้ขาดอารยะ ล้าหลัง
..และเรารู้ว่า ตัวเราเปลี่ยนไป
เมื่อเราผ่านการต่อสู้ เราย่อมตระหนักรู้ ว่าตัวเราเปลี่ยนไป
มันอาจจะเพียงไม่นาน และเราไม่ได้ถูกจ้างวานให้มาโดยใคร
เราสุขเราทุกข์มาด้วยกัน ผ่านคืนและวันที่เราต่างลุกเป็นไฟ
ไฟบางกองวูบวับดับลง หากที่เหลือยังคงเป็นไฟกองใหม่
แม้ล่วงเข้าปลายฤดูฝน มันยังลุกอยู่บนสิ่งที่ควรลุกไหม้
เพื่อนเอ๋ย..เราไม่อาจปล่อยวาง จุดหมายปลายทางยังอีกยาวไกล.......
ระหว่างเส้นทางสายนี้, เราเริ่มรู้ว่ามีเรื่องราวมากมาย
มีชุมชน และผู้คนเหล่านั้น ในตรอกซอยตัน และถนนสายใหญ่
บนทางลอยฟ้า หน้าห้างฯ ลานสนามกว้างขวางมีเวทีอภิปราย
วิทยุ, ทีวี, หนังสือ ฯลฯ บอกเราให้ยึดถือหลักการฯ ทั้งหลาย
การเผชิญหน้าปากกระบอกปืน ช่วยให้เราหยัดยืนได้มั่นคงกว่าใครๆ
และการล้อมปราบครั้งนั้น ไม่ทำให้เราพรั่นพรึงแต่อย่างใด........
เพื่อนเอ๋ย เราผ่านมันมา และเรารู้ว่า ตัวเราเปลี่ยนไป
เราเริ่มพูดจาเหมือนกัน ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องอะไร
คิดและทำสิ่งเดียวกัน ตั้งเข็มมุ่งมั่นโดยมิต้องนัดหมาย
ไม่ต้องมัวตั้งคำถาม เพราะทุกอย่างเป็นไปตามชุดคำอธิบาย
การเมือง, สังคม, เศรษฐกิจ ทุกเรื่องเราคิดคำตอบได้ง่ายดาย
เรารักคนคนเดียวกัน และเกลียดคนคนนั้นเหมือนๆ กันใช่ไหม ?
ทุกคน ทุกเรื่องที่เรารัก ทำไมเรามักไม่มีคำถามใดๆ ?
และทุกคน ทุกเรื่องที่เราเกลียด เราก็ยิ่งยัดเยียดความเกลียดชังลงไป
เราอนุโลมให้กับความผิดพลาด ในทุกๆ โอกาสของพวกเราใช่หรือไม่ ?
เราจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ท่ามกลางความเงียบงันของ “คำถาม” ได้อย่างไร ?
หรือนี่คือสิ่งที่เรากำหนด ให้เป็นอนาคตของ“สังคมไทย” ..? .........
แน่นอน..เราถูกกระทำ ถูกเหยียดถูกย่ำอย่างกับวัวกับควาย
เสียงเราไม่ถูกได้ยิน เลือดเราไม่มีกลิ่นเหมือนพวกเขาทั้งหลาย
ศพเราไม่ถูกมองเห็น เหมือนว่าเรานั้นเป็น “ผู้ไม่มีร่างกาย”
แต่แล้ว ในเวลาเดียวกัน เรากำลังทำอย่างนั้นกับคนอื่นอยู่หรือไม่ ?
เราคิดว่า ข้างนอกนั่น มีแต่ “พวกมัน” เท่านั้นหรืออย่างไร ?
หลายคนคงยังพอนึกออก ถึงตอนที่อยู่ “ข้างนอก” ยังไม่เข้ามา “ข้างใน”
ก่อนจะมาถึงวันนี้ เราต่างก็เคยมีเมื่อวานนี้ ใช่หรือไม่ ?
เราเคยเห็นแย้งเห็นต่าง อคติ – เป็นกลาง กับเรื่องราวหลากหลาย
เคยถกเถียงหน้าดำคร่ำเครียด แต่ไม่เคยโกรธเกลียดกันแบบเอาเป็นเอาตาย
เคยได้ยินคำพูดทุกคำ แถมยังจดยังจำหน้าตากันได้
เราลองคิดว่า “พวกเขา” ก็คือพวกเราในวันเก่าๆ ได้หรือไม่ ?
คือ “เรา” ที่เคยมีโอกาส ก้าวข้ามความผิดพลาด กลายมาเป็นคนใหม่..
แล้วทำไมเราจะฉวยโอกาส รับฟังข้อผิดพลาดจากพวกเขาบ้างไม่ได้ ?
บางที หลายคนในพวกเขา อาจไม่ใช่ศัตรูเรา อย่างที่เราเข้าใจ............
เพื่อนเอ๋ย เราเพิ่งผ่านมันมา ภาพยังติดตา เรื่องยังคาใจ
คนตายต้องไม่ตายเปล่า ความตายของเขาต้องมีความหมาย
แน่นอน, เราไม่อาจปรองดอง กับคนที่มือทั้งสองเปื้อนเลือดพวกเราได้ !
แต่หากเราต้องเป็นเหมือนกัน - กับคนเหล่านั้น มันมีประโยชน์อะไร ?
เราอาจต้องสนใจปัญหา ในระดับลึกกว่า “อำนาจของตีนใหญ่”
สนใจเครือข่ายกลุ่มก้อน ที่ลึกลับซับซ้อนกว่าเส้นสนกลใน
ทำความรู้จักกับทุกคน เพื่อเข้าใจว่า “ประชาชน” นั้น หมายถึงใคร ?
กล้าพูด กล้าวิพากษ์วิจารณ์ ทุกๆ หลักการที่เริ่มล้าสมัย
ทบทวนวิธีต่อสู้ ที่มุ่งโค่นศัตรูอย่างเอาเป็นเอาตาย
เราก็เห็น ว่าคนเหล่านั้น ทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน..จะเอาอย่างไปทำไม ?
โลกมีพื้นที่กว้างขวาง ผู้คนถูกสร้างให้มีความหลากหลาย
เรา, ฉัน, ท่าน, เขา – แต่ละคน ต่างมีตัวตนแตกต่างกันไป
แต่เสียงเราต้องเป็นที่ได้ยิน เลือดเราต้องมีกลิ่นเหมือนพวกเขาทั้งหลาย
และมันคือเลือดสีแดง เหมือนเลือดสีแดงของผู้คนทั่วไป
ตัวตนเราต้องถูกมองเห็น เพราะชีวิตเราเป็นสิ่งที่มีความหมาย
พลังแห่งปัจเจกภาพ ย่อมไม่ใช่การหมอบราบ – รอฟังคำสั่งใคร !
เพื่อนเอ๋ย..เราจงมากำหนด สิ่งที่เป็นอนาคตของสังคมไทยใหม่
ถ้าไม่อยากย่ำอยู่ที่เก่า...
ถ้าไม่อยากย่ำอยู่ที่เก่า... ตัวตนของเรา จะต้องเปลี่ยนต่อไป
กฤช เหลือลมัย อ่านในงานคอนเสิร์ต “เราไม่ทอดทิ้งกัน” หอประชุมเล็ก ม.ธรรมศาสตร์ กรุงเทพฯ 25 กันยายน 2553 (คัดลอกจาก Facebook)
เพิ่มเติม 2010.09.29 21:06 : บทกวีนี้ พร้อมกับบริบทที่มันถูกอ่าน สร้างข้อถกเถียงอย่างแพร่หลาย เอาแค่เฉพาะใน Facebook ก็มีคนถกเถียงแลกเปลี่ยน แสดงความคิดเห็นกับเรื่องนี้อยู่เป็นจำนวนมาก ที่ผมทราบก็มี:
ข้อผิดพลาดคอนเสิร์ต "เราไม่ทอดทิ้งกัน" และกรณี "คุณโบว์" โดย Chaithawat Tulathon (27 ก.ย. 2553)
แดงแท้ แดงเทียม แดงสลิ่ม แดงมือใหม่ แดงมือโปร แดงมหาเทพ แดงซูเปอร์แดง ฯลฯ โดย Sirote Klampaiboon (28 ก.ย. 2553)
ความคิดเห็นของเราต่อบทกวีของกฤชก็คือ... โดย ภัควดี ไม่มีนามสกุล (28 ก.ย. 2553)
บันทึกส่วนตัวเกี่ยวกับกฤช เหลือลมัย, คุณโบว์และความคับแค้นใจบางประการของสลิ่มตัวพ่อ โดย Peter Sri มีเฌอเป็นลูกรัก (29 ก.ย. 2553)
(อ่านได้อ่านไม่ได้ ก็แล้วแต่ privacy settings ของแต่ละคนนะครับ)
รายงาน: รวมบรรยากาศวัฒนธรรมลูกผสม งาน “เราไม่ทอดทิ้งกัน”
รายงาน: ไต่สวนสาธารณะ ปากคำเหยื่อกระสุน เม.ย.- พ.ค.53
เสวนางาน ‘เราไม่ทอดทิ้งกัน’ : กระบวนการรับผิด กรณีสลายการชุมนุม เม.ย.-พ.ย.
ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายชุมนุม เม.ย.-พ.ค. 53 (คปช.)
People's Information Center The April-May 2010 Crackdown (PIC)
technorati tags: people, poems, Red Shirts
ในโอกาสพิธีกรรมสาธารณะ (ที่ปีนี้จัดอย่างยิ่งใหญ่ยิ่งยวด)
รวบรวมและจัดประเภท (วันที่ถูกกำหนดให้เป็น)วันสำคัญ/วันที่ระลึก/วันหยุด จากแหล่งต่าง ๆ (ข้อมูลประกอบบทความที่เขียนไม่เสร็จ พิธีกรรมสาธารณะและสิ่งมันระลึกถึง
- การบ้านเมื่อสองเทอมที่แล้ว)
รวบรวมจากเอกสารหลายฉบับ (ดูอ้างอิงที่ท้ายตาราง) แล้วทดลองจัดกลุ่มตามสิ่งที่ระลึกถึง ได้จำนวน 20 กลุ่ม - บางวันอาจอยู่ในกลุ่มมากกว่าหนึ่งกลุ่ม เช่น วันยุทธหัตถี (วันสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ) ที่อยู่ในกลุ่มการทหาร และกลุ่มสถาบันกษัตริย์/กษัตริย์, หรือ วันตำรวจ ที่อยู่ในกลุ่มราชการ/การปกครอง และกลุ่มอาชีพ/กลุ่มคน/องค์กร. กลุ่มจากการทดลองจัดนี้ สอดคล้องกับกลุ่มวันสำคัญของไทยที่จัดโดย ธวัชชัย พืชผล (2545).
กลุ่ม : จำนวนวัน
หากนับเฉพาะที่ถูกกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการ [ที่คนในสังคมจำนวนมากมีพิธีกรรมสาธารณะร่วมกัน] 14 วัน:
กลุ่มสถาบันกษัตริย์/กษัตริย์มีจำนวนมากที่สุด คือ 5 วัน (วันจักรี, วันฉัตรมงคล, วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ, วันปิยมหาราช, วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว);
ตามด้วยกลุ่มศาสนา 4 วัน (วันมาฆบูชา, วันวิสาขบูชา, วันอาสาฬหบูชา, วันเข้าพรรษา);
ประเพณี 3 วัน (วันขึ้นปีใหม่+สิ้นปี, วันสงกรานต์, วันลอยกระทง);
และอาชีพ 1 วัน (วันพืชมงคล) [วันแรงงาน ราชการไม่หยุด-ธนาคารหยุด].
ในวันหยุดราชการ 14 วัน วันหยุดที่มีลักษณะเฉพาะกลุ่มคนมากที่สุด คือวันพืชมงคล ที่ในแง่หนึ่งมีความสำคัญต่อเกษตรกรและมีลักษณะเฉพาะกลุ่ม แต่ในขณะเดียวกัน พิธีในวันพืชมงคลก็มีลักษณ เชื่อมโยงกับพระมหากษัตริย์อย่างมาก กระทั่งการกำหนดวันในแต่ละปี ก็เป็นประกาศจากสำนักพระราชวังในการกำหนดอุดมฤกษ์.
เมื่อเปรียบเทียบวันหยุดราชการกับวันหยุดธนาคารซึ่งประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทย นอกจากการที่ราชการหยุดในวันเข้าพรรษาแต่ธนาคารไม่หยุด และธนาคารมีวันหยุดภาคครึ่งปีในวันที่ 1 กรกฎาคมแล้ว, ใน 14 วันนี้ วันพืชมงคล ก็เป็นจุดแตกต่างสำคัญระหว่างวันหยุดทั้งสองระบบ โดยมีคู่ตรงข้ามเป็น วันแรงงานแห่งชาติ ที่ราชการไม่หยุดแต่ธนาคารหยุด.
ความเป็นคู่ตรงข้ามของวันพืชมงคลและวันแรงงานแห่งชาตินี้ ดูจะเหมาะเจาะลงตัวมาก เนื่องจากทั้งคู่ต่างก็เป็นวันหยุดเฉพาะกลุ่ม และต่างก็แทนวิถีการผลิตคนละแบบ คือวันพืชมงคลสำหรับวิถีการผลิตแบบเกษตรกรรม และวันแรงงานสำหรับวิถีการผลิตแบบอุตสาหกรรม.
การที่ราชการเลือกหยุดในวันพืชมงคล และไม่หยุดในวันแรงงาน จึงเป็นเรื่องน่าสนใจ.
คำอธิบายโดยมองวิถีการผลิตเพียงอย่างเดียว ว่า ข้าราชการไม่ถือว่าตัวเองอยู่ในระบบแรงงาน และถือว่าตัวเองอยู่ในระบบ เกษตรกรรม ดูจะไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน. แต่เราอาจลองมองจากความเชื่อมโยงของวันพืชมงคลกับสถาบันกษัตริย์ได้ -- ซึ่งผู้เขียนยังไม่ได้ศึกษาต่อ.
อนึ่ง ข้อสังเกตต่อวันหยุดราชการ และวันสำคัญต่าง ๆ ของไทย คือ เพิ่งจะถูกกำหนดมาเมื่อไม่นานนี้.
เช่น วันชาติ 5 ธันวา หรือ วันแม่ 12 สิงหา ก็เพิ่งถูกกำหนดขึ้นไม่นานนี้. โดยวันชาติที่ตรงกับวันพระราชสมภพของในหลวงภูมิพล กำหนดในปี พ.ศ. 2503 โดยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์. ส่วนวันแม่ที่ตรงกับวันพระราชสมภพของราชินี กำหนดในปี พ.ศ. 2519 โดย สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์. ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงที่คณะราษฎรหมดอำนาจทางการเมือง. โดยก่อนหน้านี้ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม กำหนดให้วันชาติไทยคือวันที่ 24 มิถุนายน (ตามวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง) และวันแม่แห่งชาติคือวันที่ 15 เมษายน.
ดูส่วนหนึ่งของการต่อสู้ทางสัญลักษณ์และอุดมกาณ์ ผ่านการกำหนดวันหยุดและพิธีกรรมสาธารณะได้ที่ ลำดับเหตุการณ์คณะราษฎร (วิกิพีเดีย)
technorati tags: public rituals, cultural politics, holidays, Thailand
อุทิศ อติมานะ
ชีวิตนั้นไร้สาระ ว่างเปล่า ผ่านมาแล้วก็ผ่านมา ที่เหลืออยู่เป็นเพียง “ความทรงจำ” เกี่ยวกับการกระทำที่ผ่านมาเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ สมเกียรติ ตั้งนโม อีกชีวิตหนึ่งที่จากไป แต่ก็ยังอยู่ใน “ความทรงจำสาธารณะ” ที่สำคัญอีกบทหนึ่งของสังคมไทย เป็นความทรงจำสาธารณะถึงชีวิตหนึ่งที่มีอุดมการณ์เพื่อ “ผลประโยชน์สาธารณะ” มีความมุ่งมั่น ทุ่มเท มีวินัยอย่างคงเส้นคงวาตลอดชีวิตที่ผ่านมา ที่ลุกขึ้นต่อสู้กับความไม่เสมอภาค ความไม่รู้ ความไม่ยุติธรรม ความไม่ชอบธรรม ฯลฯ ในสังคมไทยและโลก ดูเหมือนว่าพันธกิจนี้จะยังคงเป็น “งานที่ไม่เสร็จ”
ความเป็นสมเกียรติ ตั้งนโม เริ่มต้นจากความไม่เสมอภาค ความไม่รู้ ในวงการศิลปะ จากปัญหาดังกล่าวผลักดันเขาให้สร้างสรรค์ผลงานแปล เรียบเรียง และบทความ เกี่ยวกับความรู้ขั้นสูงร่วมสมัยในศาสตร์ศิลปะและสาขาที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ อย่างมากมาย ด้วยความเชื่อส่วนตัวที่ว่า ความคิดเชิงวิจารณ์เพื่อผลประโยชน์สาธารณะ และความคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้างสังคมที่มีความเป็นธรรม ชอบธรรม จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าคนไทยส่วนใหญ่ยังคงปราศจากความรอบรู้ในศาสตร์ขั้นสูงสาขาต่าง ๆ ซึ่งความรู้เหล่านั้นส่วนใหญ่ ยังคงอยู่ในโลกของผู้ใช้ภาษาอังกฤษ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ถูกฝึกฝนมาให้เป็นนักแปลมืออาชีพก็ตาม หรือแม้ว่าเขาจะไม่เคยได้รับค่าจ้างแปลใด ๆ ตลอดช่วงเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมาก็ตาม แต่เขาสามารถผลิตผลงานแปลและเรียบเรียง หนังสือวิชาการขั้นสูงในสาขาต่าง ๆ มากมายกว่าร้อยเล่มอย่างต่อเนื่อง เขาเริ่มจากการแปลและเรียบเรียงตำราวงการศิลปะ ค่อย ๆก้าวมาสู่การเขียน การแปล และเรียบเรียงตำราในวงการมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์
ต่อมาเขาริเริ่มโครงการเสวนา “ศิลปะ ปรัชญา และวิทยาศาสตร์” ราว 10 ปีที่ผ่านมา ด้วยความเชื่อที่ว่า เมื่อคนไทยมีความรอบรู้ขั้นสูงในสาขาต่าง ๆ เชิงบูรณาการที่มากพอ จะนำมาสู่การสามารถวิเคราะห์ รู้เท่าทัน ความไม่เป็นธรรมในสังคมไทยที่มีความซับซ้อน ซ่อนรูป สามารถเข้าใจปัญหาสังคมระดับโครงสร้างเหตุปัจจัยต่าง ๆ ระดับแนวคิดเชิงทฤษฏี โดยผ่านเวทีเสวนาที่เขาริเริ่มขึ้น เพื่อสร้างชุมชนวิชาการที่มีความเป็นสหวิทยาการ ร่วมกันผลิต “แนวคิดเชิงวิพากษ์สังคม” ผ่านมุมมองของศาสตร์และความเห็นของบุคคลที่หลากหลาย เพื่อให้เกิดชุมชนนักวิชาการที่ไม่มีแรงจูงใจเพื่อรับใช้อำนาจของคนบางกลุ่ม แต่รับใช้ “ผลประโยชน์สาธารณะอย่างไม่มีเงื่อนไข” เพื่อสร้างพลังการต่อรอง ต่อต้าน ประท้วง ทั้งทางตรงทางอ้อม ฯลฯ ต่อความไม่เสมอภาค ความไม่ยุติธรรม ความไม่ชอบธรรมต่าง ๆ ในสังคมไทยและโลก
จากความเป็นนักทฤษฏี สู่ความเป็น “นักปฏิบัติการทางการเมืองภาคประชาชน” สมเกียรติเข้าร่วมกับกัลยาณมิตรที่มีอุดมการณ์ร่วมคล้ายกัน ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เป็นมหาวิทยาลัยทางเลือกเพื่อสรรค์สร้างปฏิบัติการทางการเมืองภาคประชาชน เน้นการแก้ปัญหาสังคมไทยระดับ “แนวคิดเชิงวิพากษ์” ที่ตรงไปตรงมา มีเหตุผล วิจารณ์เท่าที่จำเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะในแต่ละจังหวะเวลา อย่างไม่มีเงื่อนไข อาทิ มีการออกแถลงการณ์ให้ข้อคิดเชิงหลักการต่อเหตุการณ์ทางการเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง มีการทำสงครามเพื่อสัญลักษณ์ ฯลฯ รวมทั้งมีการต่อยอดพัฒนาชุมชนมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนสู่โลกอินเทอร์เน็ต มันทำให้มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกลายเป็นชุมชนวิชาการไทยที่สร้างการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง และทรงอิทธิพลในสังคมไทยต่อมา ซึ่งสมเกียรติมีบทบาทสำคัญอย่างมากในฐานะผู้รับผิดชอบเว็ปไซต์ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
แน่นอนที่สุด ชีวิตนั้นว่างเปล่า ไร้สาระ ชั่วคราว แต่อย่างน้อย สมเกียรติ ก็ได้ท้าทาย “กฎแห่งความไร้สาระของชีวิต” สู่การทำให้ชีวิตของเขาที่ผ่านมา “มีสาระบางประการท่ามกลางความว่างเปล่า” เป็นสาระแห่งชีวิตที่ถูกใช้อย่างทุ่มเท จริงจัง มีวินัย ฯลฯ เพื่อตอบสนองคุณค่าความจริง ความดี ความงาม อย่างปราศจากเงื่อนไข ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของอารยธรรมมนุษย์ เพื่อต่อสู้กับความไม่รู้ ความไม่เสมอภาค ไม่ยุติธรรม ไม่ชอบธรรม ความไร้ระเบียบ ฯลฯ ในสังคม “ความเป็นสมเกียรติ ตั้งนโม” น่าจะกลายเป็น “ความทรงจำสาธารณะ” อีกบทหนึ่งที่ควรค่าต่อการจดจำ และส่งต่อผ่านคนรุ่นหลัง เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้สืบต่อบทบาทการเมืองภาคประชาชน แนวคิดเชิงวิพากษ์ และการสร้างชุมชนวิชาการของสังคม ที่ร่วมกันผลิตสื่อทางเลือก คอยเฝ้าระวัง “มุมมืด” ที่มีในตัวเราทุกคน เพื่อร่วมตั้งคำถามใหม่ ๆ เกี่ยวกับ “ผลประโยชน์สาธารณะ” อย่างต่อเนื่อง จริงจัง ทุ่มเท เป็นสงครามที่ยังไม่ยุติ
(คัดลอกจากหน้าแรกของเว็บไซต์ม.เที่ยงคืน - 5 ส.ค. 2553)
อ่านต่อ: “ความรู้” ในแบบสมเกียรติ ตั้งนโม แห่ง ม.เที่ยงคืน โดย สมชาย ปรีชาศิลปกุล 22 ก.ค. 2553
ข่าวเกี่ยวกับ "สมเกียรติ ตั้งนโม" ในนสพ.ประชาไท
technorati tags: Somkiat Tangnamo, Midnight University, unfinished
การใช้อุปลักษณ์ (metaphor) 'พ่อ'/'แม่'(-'ลูก') เช่น พ่อของแผ่นดิน อาจารย์แม่ บิดาแห่งวงการ... ฯลฯ
ผลที่ตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ (entailment) ในเชิงมโนทัศน์ อย่างหนึ่งก็คือ คนคนนั้นจะมีบุญคุณกับ 'ลูก' โดยอัตโนมัติ
เป็นบุญคุณที่ชาตินี้ชาติหน้าก็ทดแทนกันไม่หมด
ทั้ง ๆ ที่คน ๆ นั้นอาจจะไม่เคยทำอะไรให้ชีวิตคุณดีขึ้นมาแม้แต่น้อย ไม่เคยเกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตคุณเลย
ผมจึงไม่เห็นด้วยและต่อต้านการมัดมือชก ด้วย metaphor แบบนี้
ผมมีพ่อเดียว แม่เดียว ไม่ต้องเอาใครมาเป็นพ่อเป็นแม่ผมอีก
หรือถ้าจะมี ก็ขอให้ผมเป็นคนเลือกใช้เอง ไม่ต้องมาจับยัดแบบผมไม่ได้เลือก
(ผมเรียก อุบลรัตน์ ศิริยุวศักดิ์ ว่า 'อาจารย์ย่า' เพราะรู้สึกอย่างมากว่าคนคนนี้เคารพได้
และข้อเขียนและคำปรึกษาของเขา มีค่ากับผมมาก ทั้งในทางวิชาการและกิจกรรมอื่น ๆ
แต่ผมไม่เรียก สุนีย์ สินธุเดชะ ว่า 'อาจารย์แม่' แน่ๆ เขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผมเลย)
----
ผู้สนใจเรื่องอุปลักษณ์เชิงมโนทัศน์ (conceptual metaphor) วิกิพีเดียมีเขียนแนะนำไว้
หนังสือหลักเล่มหนึ่งของเรื่องนี้คือ Metaphors We Live By
โดย George Lakoff และ Mark Johnson
คนแรกนั้นเป็นนักภาษาศาสตร์ คนหลังเป็นนักปรัชญา ทั้งสองสนใจเรื่องภาษาศาสตร์ปริชาน (cognitive linguistics)
Peter Norvig กูรูด้านปัญญาประดิษฐ์ ที่ตอนนี้เป็น Director of Research ที่ Google เคยรีวิวหนังสือเล่มนี้ไว้
ผมขอขอบคุณ ยุกติ มุกดาวิจิตร ที่แนะนำให้ผมรู้จักหนังสือสำคัญเล่มนี้
technorati tags: cognitive linguistics, metaphor, father
ช่วงนี้ หวัด 2009 ระบาด รักษาสุขภาพด้วย หลีกเลี่ยงการเอามือมาสัมผัส ตา จมูก ปาก (ทีโซน T-zone) — ลดเสี่ยงทั้งหวัด ทั้งสิว
สิ่งที่งานสาธารณสุขห่วงตอนนี้ ไม่ใช่ว่ากลัวมันระบาด มันระบาดไปแล้ว ไม่ต้องกลัว ที่กลัวคือกลัวคนเป็นพร้อม ๆ กันเยอะ ๆ แล้วไปโรงพยาบาลพร้อม ๆ กันคราวเดียว โรงพยาบาลจะรับไม่ไหว คนป่วยโรคอื่น ๆ ก็กระทบไปด้วย เจ้าหน้าที่และทรัพยากรไม่เพียงพอที่จะรับ peak แบบนั้น แต่ถ้าชะลอการติดเชื้อออกไปได้ ให้มันเกลี่ย ๆ ไม่เป็นพร้อม ๆ กันหมด ระบบสาธารณสุขก็จะรับมือไหว
มีอาการ คิดว่าเป็นหวัด หยุดอยู่บ้านเลย ไม่ต้องใส่หน้ากากออกมาเพ่นพ่าน
รับข่าวสารได้ทางทวิตเตอร์ @flu2009th และเว็บไซต์ www.flu2009thailand.com
...
มีโอกาสไปได้ยินผู้บริหารระดับสูงขององค์การที่เกี่ยวข้องกับสุขภาวะ แสดงความห่วงใยเรื่องดังกล่าว ขอความร่วมมือให้ช่วยกัน ... ก็น่ายินดี มีอะไรช่วยเหลือได้ก็แน่นอน จะทำเต็มที่
อย่างไรก็ตาม ก็ติดขัด ติดหู ติดใจอยู่นิดหน่อย เรื่อง การยกตัวอย่าง
เขาพูดถึงเรื่องการแพร่กระจายของเชื้อหวัด อายุของเชื้อที่ติดอยู่กับพื้นผิวต่าง ๆ หลังการไอจามหรือสัมผัส ซึ่งก็จะมีอายุ 2-8 ชั่วโมง ต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม ถ้ามีแสงสว่าง อากาศถ่ายเท เชื้อก็อยู่ได้สั้นหน่อย 2 ชั่วโมง (ซึ่งก็ยังทำให้แพร่กระจายได้มากอยู่ดี)
เขายกตัวอย่าง สถานที่มืดและชื้น เช่น ผับ
บาร์
... โดยไม่ได้พูดถึง โรงหนัง
ที่ก็มืด วัด
ที่โบสถ์หลายแห่งก็ทั้งมืดทั้งชื้น (ภาพจิตรกรรมฝาผนังในวัดหลายแห่ง เสียหายจากความชื้น)
เขายังยกตัวอย่าง การติดเชื้อจากการสัมผัส (แล้วมือที่สัมผัสไปโดนตาจมูกปากต่อ) เช่นผ่านคียบอร์ด และยกตัวอย่าง ร้านเน็ต
... โดยไม่ได้พูดถึง โรงเรียน
ออฟฟิศ
ฯลฯ
ในวงเดียวกัน มีหัวหน้าห้องคนทำเว็บ ยกตัวอย่างสถานที่แออัดซึ่งก็มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น ม็อบ
ที่ชุมนุม
... โดยไม่ได้พูดถึง ห้างสรรพสินค้า
ตลาด
.. วัด
(ทำบุญ 9 วัดนี่แหละ ทั้งแออัด ทั้งชื้น ทั้งเพลียร่างกายอ่อนแอ) ฯลฯ
พวกเขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้รู้สึกอะไร
ผมก็เพียงว่างไปหน่อย ดันรู้สึก อยากจะทักท้วงหน่อย เพราะรู้สึกว่ามันเป็นการยกตัวอย่างที่ไม่แฟร์เท่าไหร่
อาจจะใช่ว่า ผับ บาร์ ม็อบ หรืออะไรต่าง ๆ มันดู อันตราย
ไม่จรรโลงศีลธรรมอันดีงามที่คนจำนวนหนึ่งยึดถือ ... แต่ในบริบทของการ เฝ้าระวัง/ป้องกันโรค
ผมว่ามันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับสถานที่อื่น ๆ สถานที่ชุมชนคนพลุกพล่าน มันก็เสี่ยงพอ ๆ กันทั้งนั้น ไม่ได้มีอะไรมากน้อยกว่ากันเสียเท่าไหร่
การยกตัวอย่าง จึงควรจะเป็นไปอย่างเป็นธรรม เอากันอย่างแฟร์ ๆ หน่อย โดยเฉพาะถ้าการยกตัวอย่างนั้น จะเผยแพร่ออกสื่อสารมวลชน ออกพิมพ์โฆษณาเป็นจำนวนมาก
การยกตัวอย่างแบบเอียง ๆ นอกจากจะไม่แฟร์กับผู้ประกอบการจำนวนหนึ่ง ด้วยการตอกย้ำอุดมการณ์ตอกย้ำภาพเอียง ๆ จนภาพของสถานที่เหล่านั้นกลายเป็นสถานที่อันตรายไม่ควรข้องแวะ แล้ว ยังเป็นอันตรายกับประชาชนโดยทั่วไปอีกด้วย เพราะอาจทำให้เข้าใจผิดได้ว่า สถานที่ประเภทอื่น ๆ (ที่ไม่ใช่สถานที่ อโคจร
) ที่ไม่ได้ยกตัวอย่างถึงนั้น ปลอดภัย
ทั้งจะกลายเป็นว่า ยกเอา หวัด 2009 มาเนียน ขู่ไม่ให้คนไปม็อบ ขู่ไม่ให้คนเที่ยวผับ
ซึ่งคงไม่ใช่อย่างที่พวกเขาตั้งใจ
ก็นำมาบันทึกเอาไว้ เล่าสู่กันฟังเพียงเท่านี้ว่า เวลายกตัวอย่างอะไร พวกเราน่าจะระมัดระวังด้วย ไม่สร้างภาพ วาดอคติ ป้ายสี ให้กับสิ่งใดกลุ่มใด จากการยกตัวอย่างของเรา
ไม่ต้องมีเรา ก็มีคนเยอะแยะวาดกันจนเปรอะไปหมดแล้วครับ ไม่ต้องห่วง
technorati tags: bias examples, bias, language
(เงื่อนไขสู่วัฒนธรรมเสรี)
ขอคิดต่อจากพี่เทพ
...
เป็นไปได้ว่า เหตุหนึ่งที่ free culture หรือ วัฒนธรรมเสรี นั้นยังไม่แพร่หลายหรือไปไม่ถึงไหนในบางสังคม ก็เพราะ วัฒนธรรมในสังคมนั้น ๆ ไปกันไม่ได้กับแนวคิด เสรี
เป็นพื้นฐานของวัฒนธรรมเสรี
...
เสรี = ไม่ต้องขออนุญาต
คุณสมบัติหลักของ สัญญาอนุญาตแบบเปิด (open licenses) ก็คือ การผู้นำไปใช้ไม่ต้องขออนุญาตผู้ถือครองลิขสิทธิ์
เพียงผู้นำไปใช้ ตกลงยินดีที่จะทำตามเงื่อนไข ที่ทางผู้ถือครองลิขสิทธิ์ประกาศเอาไว้แล้ว-อย่างชัดแจ้ง-ต่อสาธารณะ เขาก็มีสิทธิจะใช้งานนั้นในทันที
สิ่งนี้แปลว่า ถ้าคุณทำตามกติกาเดียวกัน ข้อตกลงเดียวกัน คุณก็จะได้รับการปฏิบัติเหมือน ๆ กัน
แต่สิ่งง่าย ๆ แบบนั้น ก็อาจจะเป็นเรื่องลำบากในสังคมหลายมาตรฐาน ที่กติกาเดียวกันก็มักจะให้ผลกับคนกลุ่มต่าง ๆ ต่างกัน
...
เป็นไปได้เช่นกันว่า เหตุหนึ่งที่วัฒนธรรมเสรี นั้นถูกเข้าใจเพี้ยน ๆ ไป เช่นว่า เสรี ก็คือ ให้ใช้ฟรี แค่ขออนุญาตกันก็พอ
นั้นก็เพราะ ความมี ความเป็น authority เป็นเรื่องสำคัญในสังคมนั้น หรือ สังคมนั้นโน้มเอียงไปทางสังคมอุปถัมภ์
ความจำเป็นต้องอนุญาต นั้นแปลว่า จะยังต้องมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด มีอำนาจมากกว่าอีกฝ่ายเสมอ นอกจากนี้มันยังมีแง่มุมของการรวมศูนย์ (centralized) สู่ผู้ให้อนุญาต
ผู้ให้อนุญาตนี้เอง ที่จะเป็นผู้มีสิทธิ์ขาดตัดสินว่า อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ — ซึ่งสิ่งนี้เช่นกัน ก็ไปกันไม่ได้กับเรื่อง ถ้าทำตามกติกาเดียวกัน ก็ควรรับผลเดียวกันเสมอกัน
เพราะความมี ความเป็น authority ที่ใหญ่กว่ากติกานั้น พูดง่าย ๆ ก็คือสิ่งที่เรียกว่า ฉันคือกฎ
อยากจะอนุญาตคนนี้ แต่ไม่อนุญาตคนนั้น มีอะไรไหม ?
...
เสรี != (ไม่เท่ากับ) ไม่ต้องเสียเงิน
ดังที่ได้กล่าวไป การที่ผู้ใช้นำงานในสัญญาอนุญาตแบบเปิดไปใช้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ก็เพราะเขาได้ทำตามกติกาที่ทั้งตัวเขาเองและผู้ถือครองลิขสิทธิ์ต่างก็พอใจ
สิ่งนี้คือการแลกเปลี่ยนบนฐานของความพอใจและสมัครใจของทั้งสองฝ่าย — เราอาจเรียกสิ่งนี้ว่าความเกื้อกูลระหว่างกันได้ แต่ที่แน่นอนคือ มันไม่ใช่ความเมตตา ไม่ใช่การทำบุญ ไม่ใช่การให้ทาน และไม่ใช่เรื่องบุญคุณ
(ทัศนคติของ องค์กรที่ บริจาค
โค้ดเป็นโอเพนซอร์สแก่สาธารณะและให้ชุมชนมาร่วมทำงานด้วย กับ องค์กรที่ ส่งต่อ
โค้ดเป็นโอเพนซอร์สแก่สาธารณะและเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนในการทำงาน จึงเป็นสองทัศนคติที่แตกต่างกันอย่างมาก)
ความสัมพันธ์ระหว่าง ผู้นำงานไปใช้และผู้ให้ใช้งาน ในวัฒนธรรมเสรี จึงเป็นไปในลักษณะเท่าเทียมเสมอกัน นั่นคือ ต่างก็เป็น peer กัน แลกเปลี่ยนกันในฐานะความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกัน
ซึ่งความเป็น peer ที่เสมอกันนี้เอง ที่ก็ไปกันไม่ได้อีก กับเรื่อง authority หรือความสัมพันธ์แบบมีระดับ (client/server, master/slave, ...)
ความต้องการสร้างบุญคุณบารมี และ อำนาจในการอนุญาต (อย่างรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม) จึงอาจจะเป็นอีกเหตุ ที่แนวคิดเสรี ใน วัฒนธรรมเสรี อาจจะไปกันไม่ได้กับ สังคมอุปถัมภ์ และ สังคมลำดับชั้น
...
เช่นนี้แล้ว ในทางหนึ่ง ขบวนการวัฒนธรรมเสรี (free culture movement) จึงอาจจะจำเป็นอยู่เอง ที่นอกเหนือจากความพยายามในการปฏิรูประบบทรัพย์สินทางปัญญาให้มีความเป็นธรรมเสมอภาคขึ้นกว่าเดิมหรือสร้างทางเลือกใหม่ เช่น เนื้อหาแบบเปิดต่าง ๆ แล้ว ก็อาจต้องเข้าร่วมกับการปฏิรูปสังคมโดยรวม เพื่อผลักดันสภาพของสังคม ให้เอื้อกับ แนวคิด เสรี
ด้วย
เพราะตัววัฒนธรรมเสรีนั้นไม่ได้อยู่อย่างลอย ๆ หากสัมพันธ์โต้ตอบต่อรองกับวัฒนธรรมอื่น ๆ ในสังคม การเกิดและดำรงอยู่ของวัฒนธรรมเสรีจึงจำเป็นต้องมีสภาพที่เอื้อให้มันทำเช่นนั้นได้
...
โลกอีกแบบนั้นเป็นไปได้ แค่เปิดฝา แล้วก็แฮ็กมัน
technorati tags: free culture, cultural politics, open society, permission culture
ดูคำชักชวนและวิธีการ ใน RoyalVDO.com ที่เชิญชวนให้คนนำวีดิโอเกี่ยวกับในหลวงไปอัปโหลดตามที่ต่าง ๆ เยอะ ๆ เพื่อเป็นการ “ถวายงาน” แก่ในหลวงท่านแล้ว ก็เห็นว่าควรจะเขียนอะไรบางอย่าง ก่อนที่อะไร ๆ มันจะบิดเบี้ยวเลยเถิดไปหมดในสังคมนี้ ...
แม้แนวคิดโดยรวมของ RoyalVDO.com นั้น “เชื่อได้ว่า” คงจะมีเจตนาดี ผมพบว่ามัน “เกินพอดี” ไปหน่อย ...
จากหน้า เกี่ยวกับ ของเว็บไซต์ดังกล่าว :
หากมีคนไทยจำนวนหนึ่ง ช่วยกัน DownLoad คลิปวิดีโอ แล้วนำไป UpLoad เข้าใน YouTube หรือเว็บ อื่นๆ วันละตอน สองตอน หรือมากกว่า จนรวมกันได้มาก เป็นหมื่น เป็นแสน หากจะมีการสืบค้น โดยใช้คำ ว่า King Thai หรือ King of Thailand หรืออื่นๆ ก็จะพบเป็นหมื่นเป็นแสนเรื่อง ซึ่งแน่นอนในจำนวนนั้น ย่อม จะมีคลิปวิดีโอ ที่ไม่เหมาะสม จาบจ้วง ปนอยู่ด้วย แต่กว่าจะดูคลิปนั้นได้คงจะลำบาก ซึ่งนับเป็นการ “สร้าง น้ำดี ไล่น้ำเสีย” อย่างได้ผล
ส่วนบางท่าน อาจไม่มีเวลา DownLoad / UpLoad ก็สามารถร่วมกัน ถวายงานได้ โดยการเข้าไป โหวต ให้ เรื่องดีๆ นั้น มีดาว เรทติ้งสูง เพื่อให้เมื่อมีการสืบค้น คลิปดีๆ จะได้อยู่ในหน้าแรกๆ ส่วนคลิปไม่ดี (ถ้ามี)ก็ จะไปอยู่ในหน้าหลังๆ ลึกๆ โอกาสจะดูคลิปนั้น ก็คงจะลำบาก
(ตัวเน้น นั้นผมเน้นเอง)
ตามคำนิยามของ Google (เจ้าของ YouTube) ชัดเจนอย่างที่สุดว่านี่คือการทำ duplicate content ทำซ้ำเนื้อหาเยอะ ๆ โดยตั้งใจ เพื่อผลทางอันดับการค้นหา
Duplicate content [...]
However, in some cases, content is deliberately duplicated across domains in an attempt to manipulate search engine rankings or win more traffic. Deceptive practices like this can result in a poor user experience, when a visitor sees substantially the same content repeated within a set of search results.
อย่างไรก็ตาม, ในบางกรณี, เนื้อหานั้นถูกทำซ้ำอย่างจงใจทั่วโดเมนต่าง ๆ เพื่อผลในการถูกจัดอันดับโดยเสิร์ชเอนจิ้น หรือเพื่อให้ได้จำนวนเข้าชมมากขึ้น. วิธีปฏิบัติที่ลวงตาเช่นนี้ อาจทำให้เกิดประสบการณ์ใช้งานที่ไม่ดี, เมื่อผู้ชมเห็นเนื้อหาเดียวกันจำนวนมากซ้ำ ๆ ในผลลัพธ์การค้นหา.
ในโลกข้อมูลข่าวสารทุกวันนี้ ลำพังปัญหา information overload มีข้อมูลข่าวสารล้นเกิน มันก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว แล้วจะไปซ้ำเติมปัญหาด้วยการทำซ้ำเนื้อหาอีกหรือ ? เนื้อหาที่ซ้ำ ๆ กันอย่างนี้ ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อ findability คือจะหาอะไรก็หาไม่ค่อยจะเจอ เจอก็เจอแต่ที่ซ้ำ ๆ ที่เคยเจอไปแล้ว เสียทั้งเวลา พลังงาน ทรัพยากร และอารมณ์ ... ไม่มีอะไรที่ “พอเพียง” แม้สักอย่างเดียว
ทาง YouTube ได้แสดงออกอย่างชัดเจน ว่าไม่ต้องการเนื้อหาซ้ำ ๆ ลักษณะนี้ ดังจะเห็นได้จากคำอธิบายข้อความแสดงสถานะ Video Status Messages: Rejected (duplicate upload) ที่ระบุว่ามีการตรวจสอบแฟ้มวีดิโอทุกชิ้นที่ได้อัปโหลดเข้าไป เพื่อหลีกเลี่ยงวีดิโอที่ซ้ำ
แน่นอนว่าคุณบอกว่าคุณ “รักในหลวง” อยากจะเผยแพร่ผลงานของท่าน - ซึ่งประเด็นข้อนี้ไม่มีปัญหาอะไรเลย คนทั่วโลกเขาก็อัปโหลดคลิปต่าง ๆ เพราะอยากจะเผยแพร่อะไรบางอย่างเหมือน ๆ กัน ทุก ๆ คนมีสิทธิ์ที่จะทำได้
แต่ในขณะเดียวกัน ปรากฏว่า คุณก็อยากจะเอาเนื้อหา “อื่น ๆ” ออกไปให้พ้นหูพ้นตาชาวโลกเสียด้วย - ปัญหาในกรณีนี้คือ คุณจะอ้างสิทธิ์อะไร ในการไปรบกวนการใช้งานของผู้อื่น ? ที่แม้จะรักในหลวงเหมือนท่าน แต่เขาก็ยังต้องการใช้ YouTube และอินเทอร์เน็ตในเรื่องอื่น ๆ ด้วย ไม่ใช่เอาไว้ดูคลิปในหลวงเพียงอย่างเดียว
อะไรที่ไปกระทบรบกวนการใช้งานอื่น ๆ ?
เอาแค่ใน YouTube คีย์เวิร์ดชุดหนึ่งที่ทางเว็บ RoyalVDO.com แนะนำให้ใช้ คือ “King Thai” นั้นก็ถูกใช้ร่วมกับคลิปอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับในหลวงพระองค์ปัจจุบันเลย (ไม่ว่าจะในทาง “ดี” หรือ “ไม่ดี” ตามคำนิยามของกลุ่มผู้จัดทำ RoyalVDO.com) เช่น Three King Cobras and a Thai Man in Cambodian Snake Show (โชว์งู), The Lion King - Hakuna Matata (Thai Ver.) (เพลงการ์ตูน), King Naresuan Trailer 2! (ตัวอย่างหนัง นเรศวร), The king Of Phayao Thailand.01 (พ่อขุนงำเมือง), Cremation ceremory for King Rama VIII Part1 (พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ ร.8) ฯลฯ
หรือมีคลิปอีกจำนวนหนึ่ง ที่เป็นคลิปที่เกี่ยวข้องกับในหลวง ถวายพระพรแด่ในหลวงพระองค์ปัจจุบัน แต่ไม่ได้มาจาก RoyalVDO.com เช่น we love the king (ถวายพระพร จากพสกนิกรไทยในซิดนีย์ เมื่อปีที่แล้ว ถูกดันไปอยู่หน้า 16), Thailand Happy Birthday King! (ถวายพระพร ปีนี้ ถูกดันไปอยู่หน้า 17) — ซึ่งคำถามในกรณีนี้คือ ทางกลุ่ม RoyalVDO.com และผู้ “ร่วมด้วยช่วยกัน” สนับสนุนในทางต่าง ๆ นั้น จะอ้างว่ารักในหลวงมากกว่าคนอื่น ๆ หรืออย่างไร จึงอ้างสิทธิ์ได้ว่า คลิปแสดงความรักของฉันต้องมาก่อนคลิปแสดงความรักของคนอื่น ?
คลิปเหล่านี้ ทั้งที่เกี่ยวข้องกับในหลวงแต่ไม่ได้มาจาก RoyalVDO.com และที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับในหลวง แต่ใช้คีย์เวิร์ดหรือ tag ร่วมกับที่ RoyalVDO.com ใช้ ถูกดันลงไปอยู่หน้าท้าย ๆ เพราะต้องหลีกทางให้กับ คลิปจาก RoyalVDO.com เช่น King Thailand : His Majesty the Kings Diplomatic Ingenuity (ซ้ำกัน 10+ ชิ้น), King Thai King Bhumibol : Support for the Tsunami Survivors (ซ้ำกัน 8+ ชิ้น), King Thailand : Songs Written by His Majesty the King (ซ้ำกัน 8+ ชิ้น), King Thailand King Bhumibol : The Musical Monarch (ซ้ำกัน 10+ ชิ้น), และอีกหลายสิบหลายร้อยคลิปที่ซ้ำ ๆ (ลองดูรายการผลลัพธ์การค้นหา “king+thai” และในแต่ละหน้าที่แสดงคลิปลองดูในช่อง Related Videos ด้านขวา) ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ต้องการดูคลิปอื่น ๆ ที่ไม่ใช่จาก RoyalVDO.com บ้าง ก็จำเป็นต้องกดไล่ลงไปทีละหน้า ซึ่งในขณะนี้ต้องกดไปไม่ต่ำกว่าสิบหน้าจึงจะเจอคลิปอื่น ๆ บ้าง (ตามภาษาชาวเน็ต ในเว็บบอร์ดหรือห้องสนทนาในอินเทอร์เน็ต การกระทำเช่นนี้เรียกว่า flooding - ไม่รู้ว่าน้ำดีหรือน้ำเสียล่ะ รู้แต่ว่าน้ำท่วม ท่วมจนล้น)
แม้ตัวเนื้อหาของแต่ละคลิปนั้นจะได้จัดทำมาอย่างดี แต่ด้วยจำนวนซ้ำ ๆ ของมัน นอกจากไม่ได้ช่วยเพิ่มคุณค่าในทางเนื้อหาแล้ว (ดูคลิปเนื้อหาเหมือนกัน 10 ชิ้น ก็ไม่ได้ต่างอะไรก็ดูคลิปเดียว) ยังไปรบกวนการจะค้นพบเนื้อหาอื่น ๆ ด้วย (ซึ่งนี่เป็นเรื่องซีเรียสมากในโลกอินเทอร์เน็ตทุกวันนี้ อินเทอร์เน็ตอย่างที่เรารู้จักในปัจจุบัน ไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากไม่มีเสิร์ชเอนจิ้น-ที่ไม่ใช่ไดเรกทอรีสารบัญเว็บแบบ Yahoo! ในสมัยเริ่มแรก) ด้วยเหตุนี้ ความซ้ำ ๆ กันของคลิป จึงทำให้คลิปที่ซ้ำหมายเลข 2, 3, ... นั้นมีสถานะไม่ต่างไปจาก อีเมลขยะ หรือ spam ในตู้จดหมาย - นอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว ยังทำให้ยุ่งยากอีก
แล้วด้วยความเร็วอินเทอร์เน็ตระดับประเทศไทยของเรา ยิ่งทำให้มันกระทบต่อการใช้งานของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การ “ป่วน” (อาจจะโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์) แบบนี้ ถึงที่สุดแล้ว ในทางปฏิบัติ effectively ก็เป็นการปิดกั้นการเข้าถึง “เซ็นเซอร์” กลาย ๆ นั่นเอง แม้ไม่ได้ปิดกั้นโดยสิ้นเชิงเสียทีเดียว แต่ก็ทำให้เกิดความยากลำบาก (ซึ่งนี่เป็นข้อที่กลุ่มผู้จัดทำรู้ดี เพราะได้บอกอย่างชัดเจนในหน้า “เกี่ยวกับ” ดังกล่าว)
ผมไม่แน่ใจว่า ทางกลุ่มผู้จัดทำ RoyalVDO.com ได้ตระหนักบ้างไหมว่า อินเทอร์เน็ตนั้นเป็นพื้นที่สาธารณะ ที่ชาวเน็ตทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน วิญญูชนผู้มีอารยะพึงใช้พื้นที่สาธารณะอย่างเอาใจเขามาใส่ใจเรา ทรัพยากรใดที่มีจำกัด ก็พึงใช้ร่วมกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย ไม่ใช่ใช้ราวกับว่าอินเทอร์เน็ตทั้งหมดเป็นของข้าคนเดียว จะทำอย่างไรก็ได้ จะใส่อะไรลงไปเท่าไหร่ก็ได้ โดยคิดถึงแต่จุดประสงค์ของตัวเอง และแม้เว็บไซต์อย่าง YouTube นั้นตามกฎหมายจะเป็นพื้นที่เอกชน แต่ตัวมันก็เป็นพื้นที่ที่มีคนหลาย ๆ คนมาใช้ร่วมกัน จนเกิดเป็นชุมชนขึ้น ผู้เข้าใช้งานทุกคนก็พึงเคารพคนอื่น ๆ ในชุมชนด้วย
... นั่นก็เรื่องหนึ่ง
แต่ความล้นเกินก็คือความล้นเกิน ความไม่ “พอเพียง” นั้นไม่มีที่สิ้นสุด ในหน้า “เกี่ยวกับ” ของ RoyalVDO.com ยังได้แนะนำต่อไปว่า :
ส่วนท่านที่เป็น ผู้บริหาร , เจ้านาย หรือ ครูอาจารย์ ท่านก็มีโอกาสถวายงานได้ โดยการ สั่งการ หรือมอบ หมายให้ ลูกน้อง/ลูกศิษย์ UpLoad อย่างน้อยวันละ 1 เรื่อง และโหวต อย่างน้อย วันละ..... เรื่อง ก็ยังได้
เห็นแนวคิดอะไรไหมครับ ส่งเสริมการ abuse the power ไหมครับ ? เจ้านายสั่งให้ลูกน้องทำอะไร ๆ ... ก็ยังได้
ผมเชื่อว่าพวกเราทุกคนล้วนมีปัญหากับการทุจริตคอรัปชั่น การซื้อเสียง การฉ้อโกง ที่ออกมาเดินขบวนกันเยอะ ๆ ใส่เสื้อเหลืองเสื้อแดงสีต่าง ๆ ตะโกนว่าจะสู้เพื่อในหลวง ก็เพราะมีปัญหากับการฉ้อฉลคดโกงทั้งนั้น (ส่วนอะไรคือสิ่งที่พวกเขาเห็นว่าฉ้อฉลคดโกง ก็ว่ากันไป อาจจะไม่เหมือนกัน) แล้วลองพิจารณาสิครับ ว่าที่เชิญชวนให้ “สั่งการ หรือมอบ หมายให้ ลูกน้อง/ลูกศิษย์ UpLoad อย่างน้อยวันละ 1 เรื่อง และโหวต อย่างน้อย วันละ..... เรื่อง ก็ยังได้” นี้ มันเข้าข่ายอะไร ใช้อำนาจหน้าที่ จัดตั้ง ให้ลงคะแนนให้ ใช่ไหม ถ้าเป็นการเลือกตั้ง ก็เข้าข่ายทุจริตการเลือกตั้งน่ะแหละ ว่าง่าย ๆ (ซึ่งถ้าผู้บริหารพรรครู้เห็นเป็นใจกับการกระทำแบบนี้ ก็อาจจะถึงขั้นยุบพรรคและตัดสิทธิ์ทางการเมืองผู้บริหาร 5 ปีก็ได้ เป็นเล่นไป)
รักพ่อนั้นดีครับ แต่อย่ารักกันแบบหน้ามืดตามัว หูหนวกตาบอด รักกันแบบพอดี ๆ พอเพียงแบบที่ท่านว่า จะเป็นผลดีต่อพระเกียรติของท่านมากกว่า
เลิกเถอะครับ ทำอะไรให้มันพอดี ๆ เสียบ้าง อย่าให้น่าเกลียด
technorati tags: YouTube, abuse, duplicate conent, RoyalVDO.com, king, Thai, Thailand, vdo, spam, flooding
จากข่าว พันธมิตรฯ ฮุสตัน ต้อนรับ “หมัก” อบอุ่น, ผู้จัดการออนไลน์, 6 พ.ย. 2551 :
“... ทั้งนี้ เมืองฮุสตัน มลรัฐเทกซัสถือเป็นเมืองหนึ่งในสหรัฐอเมริกาที่มีพันธมิตรฯ หนาแน่นมากเมืองหนึ่งของสหรัฐอเมริกา โดยส่วนใหญ่เป็นชาวไทยที่มีการศึกษา เป็นเจ้าของกิจการหรือประกอบวิชาชีพเฉพาะ เช่น แพทย์ พยาบาล ทนายความ พนักงานบริษัท เป็นต้น”
หรือพูดง่าย ๆ ว่า เป็นเมืองที่ไม่ค่อยมี “บาบูน” นั่นเองครับ (เหมาะแก่การอยู่อาศัยของพันธมิตรเป็นอย่างยิ่ง)
ไม่มีอะไรจะพูด โครงการพิเศษเกิดขึ้นโดยกลุ่มศิลปินแขนงต่าง ๆ มากกว่าห้าสิบคน อาทิ ผู้กำกับหนัง (ทั้งในระบบและอิสระ), นักวาดภาพประกอบ, ศิลปินภาพถ่าย, นักเรียนหนัง, ครูหนัง, นักวิชาการ, นักเขียน, นักวิจารณ์หนัง, บล็อกเกอร์, นักแสดง, นักดนตรี, ผู้กำกับละครเวที, ศิลปินทัศนศิลป์และสื่อผสม จัดฉายวิดีโอเงียบบนกำแพงตึก เกี่ยวข้องกับสังคม และการเมือง เพื่อสะท้อนภาพความคิดของศิลปินในฐานะประชาชนชาวไทย ที่มีต่อสภาพบ้านเมืองของประเทศไทยในปัจจุบัน โดยได้รับความร่วมมือจาก สถาบันปรีดี พนมยงค์ และมูลนิธิหนังไทย
โดยในครั้งที่ 1 นี้ จะแสดงบนกำแพงภายในตึกสถาบันปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ เทศกาลศิลปะนานาพันธุ์: ศิลปกับสังคม ครบรอบ 35 ปี 14 ตุลาคม 2516 (เทศกาลนี้มีวันที่ 18 ต.ค. – 2 พ.ย. 2551) โดยโครงการ ไม่มีอะไรจะพูดนี้ จะจัดแสดงครั้งแรก ในวันที่ 31 ต.ค. 2551 ตั้งแต่เวลา 1 ทุ่มเป็นต้นไป พร้อม ๆ กับการแสดงคอนเสิร์ตของวง สไตลิชนอนเซ้นส์, แบร์การ์เด้น, และ อัศจรรย์จักรวาล
รายชื่อศิลปินทั้ง 53 คน/กลุ่ม มีดังนี้: ทรงยศ สุขมากอนันต์, ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล, โลเล, เกี้ยมอี๋, นัดดา ธนทาน, กรกฤช เจียรพินิจนันท์, ธีระวัฒน์ มุลวิไล, โสรยา นาคะสุวรรณ, อโนชา สุวิชากรพงศ์, จักรกฤษณ์ อนันตกุล, ภาณุ อารี, ไกรวุฒิ จุลพงศธร, จุฬญาณนนท์ ศิริผล, ญาณิน พงศ์สุวรรณ, วิรัส ยั่งยืน, นพพันธ์ บุญใหญ่, สถิตย์ ศัตรศาสตร์, ปฐมพล เทศประทีป, เจตน์ เศรษฐฐิติ, โอฬาร เนตรรังษี, พัลลภ ฮอหรินทร์, วิชาติ สมแก้ว, ปราโมทย์ แสงศร, ศาสตร์ ตันเจริญ, นฆ ปักษนาวิน, ชนาธิป จูน, พิชชานันท์ เลาหะพรสวรรค์, D I E, นนทวัฒน์ นำเบญจพล, Sunday Syndrome, สุชาดา สิริธนาวุฒิ, สมพจน์ ชิตเกษรพงศ์, สิทธิเดช โรหิตะสุข, ชลิดา เอื้อบำรุงจิต, สัณห์ชัย โชติรสเศรณี, ดรสะรณ โกวิทวณิชชา, ก.ก.ป.อ., ไพสิฐ พันธุ์พฤกษชาติ, รักช้างน้อย, สุรชาญ มั่นคงวงศ์ศิริ, ธมน ศรีขาว, เด็ด จงมั่นคง, วศิน มิตรสุพรรณ, อนุชา บุญยวรรธนะ, ภาวิไล บางอ้อ, ชูเกียรติ วงศ์สุวรรณ, ผดุงพงศ์ ประสาททอง, พลัฎฐ์ สังขกร, ปนัฐา ดิษสุวรรณกุล, พัชร เอี่ยมตระกูล, ภิญญุดา ตันเจริญ, สายฟ้า ตันธนา, และ ธัญสก พันสิทธิวรกุล
รายละเอียดเพิ่มเติม ที่เว็บไซต์ไทยอินดี้ http://thaiindie.com/
[ผ่าน ไบโอสโคป]
คอนเซปต์ของ ReadCamp หรือ “กางมุ้งอ่าน” ก็ยังตามที่ทวีตคุย ๆ กัน และที่โพสต์ถามลงใน Culture Lab คือจะเป็นงานลักษณะ unconference ทำนอง BarCamp ที่ชวนผู้ร่วมงานมาเสนอเรื่องการ “อ่าน” แล้วก็แลกเปลี่ยนกัน
อ่าน หนังสือ. อ่าน หนัง. อ่าน เพลง. อ่าน โปสเตอร์. อ่าน โฆษณา. อ่าน เสื้อยืด. อ่าน พฤติกรรม. อ่าน trend. อ่าน วัฒนธรรม. อ่าน ปุ่มบนไมโครเวฟ user interface. อ่าน ตึก สถาปัตยกรรม. อ่าน การ์ตูน. อ่าน ภาพวาด งานศิลปะ. ... ...
นั่นคือ เป็น "อ่าน" ในความหมายที่กว้างที่สุดนั่นเอง. ทั้งการอ่านตามตัวบท ตีความ วิพากษ์ วิจารณ์ หรือกระทั่งรื้อแล้วเล่าใหม่.
การอ่านในความหมายกว้างนี้ เชิญชวนหรือเอาเข้าจริงก็อาจจะถึงขั้นเรียกร้องให้ผู้อ่านตั้งคำถามกับสิ่งที่พวกเขาอ่าน. ทำไมเขาถึงอ่านได้เช่นนั้น. อะไรทำให้เขามีทัศนคติหรือวิจารณ์งานชิ้นใดอย่างที่เขาทำ. ผู้เขียนต้องการสื่ออะไร อะไรที่ทำให้ผู้เขียนสื่อเช่นนั้น. ไม่ว่าจะตอบได้หรือไม่ก็ตาม แต่การตั้งคำถามนี้จะนำไปสู่ความตระหนักที่ว่า สิ่งต่าง ๆ เป็นอย่างที่มันเป็นอยู่ด้วยเหตุผลบางสิ่งเพื่อตอบคำถามบางอย่าง ไม่มีสิ่งใดที่เป็นอย่างที่มันเป็นอย่างไร้เดียงสา -- อย่างน้อยความหมายที่เราให้กับมันก็ไม่เคยไร้เดียงสา.
ด้วยการแสดงให้เห็น-ด้วยการลงมืออ่านด้วยกัน เราจะเห็นความเป็นไปได้ที่แตกต่าง/ขัดแย้งมากมายในการอ่าน และประสบการณ์จะค่อย ๆ ทำให้เราตระหนักว่าไม่มีการอ่านแบบใดหรือความหมายแบบไหนที่ถูกต้องที่สุด-ดีที่สุด. อำนาจในการอ่านเป็นของผู้อ่านแต่ละคน ไม่ใช่ของผู้ผูกขาดการอ่านรายไหน หรือกระทั่งผู้เขียน. ถ้าไม่ชอบใจเรื่องที่เขาเล่ามา เราก็รื้อมันซะ แล้วเล่าใหม่. ทำได้ และจริง ๆ เราก็ทำมันอยู่ทุกวันโดยไม่รู้ตัว (ทีวีเล่าข่าวจากนสพ.ให้เราฟัง เราไปเล่าต่อให้เพื่อนฟัง .. ในทุกขั้นจริง ๆ แล้วมันก็มีการเขียนใหม่ - เลือกที่จะเล่าอะไร และไม่เล่าอะไร เพิ่มอะไรเข้าไป หรือเปลี่ยนลำดับเรื่องและวิธีการเล่า).
สิ่งต่าง ๆ ไม่ไร้เดียงสา. ผู้เขียน/สร้างก็ไม่ไร้เดียงสา และผู้อ่าน/ใช้ก็ไม่ไร้เดียงสา. ในทุก ๆ การอ่านมีการต่อรองอำนาจกันอยู่. เพื่อก้าวไปสู่โลกแห่งความคิดสร้างสรรค์ที่เปิดกว้าง ผู้อ่าน-ซึ่งอันที่จริงก็เป็นผู้เขียนในคนเดียวกัน-จำต้องหลุดไปจากอำนาจการอ่านของผู้อื่น และเปิดพรมแดนการอ่านและให้ความหมายของตัวเอง. เพราะ เสรีภาพในการอ่าน คือเสรีภาพขั้นต้นในการสร้างสรรค์.
งาน ReadCamp นี้ที่เราวางแผนกันนี้ ก็หวังว่าจะเป็นเวทีให้คนมาแลก "การอ่าน" ของตัวกัน เพื่อสร้างบรรยากาศและขยายพรมแดนความคิดสร้างสรรค์.
งานนี้จะใช้ชื่อหลักว่า “ReadCamp” (รีดแคมป์) ล้อกับ BarCamp, โดยมีชื่อรองภาษาไทยว่า "ทุกอย่างอ่านได้". โดยวางแผนไว้ว่าจะจัดในช่วงปลายพฤศจิกายนนี้. เว็บไซต์อยู่ที่ http://culturelab.in.th/readcamp/
ใครสนใจ มาร่วมจัดกันครับ - ติดต่อพูดคุยกันได้ที่เมลกลุ่ม youfest (at) googlegroups.com (ต้องสมัครสมาชิกก่อนจึงจะส่งได้ ถ้าส่งแล้วมีปัญหาได้ไม่ได้อย่างไร ติดต่ออีเมล arthit (at) gmail (dot) com ได้ครับ)
[ โพสต์ครั้งแรก 2008.09.29 ใน ReadCamp ]
technorati tags: ReadCamp, BarCamp, reading group, culture
บางทีเราอาจจะต้องดีใจในบางขณะ ที่เราอยู่ในสถานะถูกควบคุมคุกคามเช่นนี้ เพราะนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ยืนยันว่า เรายังเป็นสื่อทางเลือกอยู่ และไม่ได้ลืมความเป็นตัวตนของเราไป
บางทีการเป็นสื่อทางเลือก อาจจะหมายถึง การทำให้ตัวเองอยู่ในฐานะหมิ่นเหม่ ท้าทาย “เป็นตัวปัญหากับความคิดกระแสหลัก” อยู่ตลอดเวลาเช่นนี้ก็เป็นได้
เพราะที่สุดแล้ว สิ่งที่สื่อทางเลือกท้าย ไม่ได้เป็นสิ่งจำเพาะใด ๆ เป็นการเฉพาะเจาะจง ไม่ว่าจะเป็นศาสนจักร สถาบัน วิทยาศาสตร์ ท้องถิ่น หรือโลกาภิวัฒน์ แต่สิ่งที่สื่อทางเลือกท้าท้าย ก็คือสิ่งที่เป็น “ปกติ” “ธรรมชาติ” ในสังคม
ในวันที่ศาสนจักรมีอำนาจเหนือสังคม สื่อทางเลือกคือเหล่านักวิทยาศาสตร์ผู้กล้าตายที่ประกาศว่าพระเจ้าไม่ได้สร้างโลก มนุษย์กำหนดชะตากรรมตนเองได้ พวกเขาเป็นตัวปัญหาของสังคม หลายคนถูกตราหน้าว่าเป็นพวกนอกศาสนานอกรีต และถูกเผาทั้งเป็น
เวลาผ่านไป ในวันหนึ่ง วันที่วิทยาศาสตร์ได้กลายเป็นวาทกรรมที่มีอำนาจเหนือสังคม สิ่งที่สื่อทางเลือกเสนอก็จะไม่ใช่วิทยาศาสตร์อีกต่อไป แต่เป็นคุณค่าที่วิทยาศาสตร์ได้กดทับมัน ในชื่อที่ผู้คนเหล่านี้สร้างคุณค่าใหม่ให้มันอีกครั้ง ในชื่อ “ภูมิปัญญาท้องถิ่น”
และในวันที่ภูมิปัญญาท้องถิ่นเหล่านี้ ได้กลายเป็นวาทกรรมหลักในสังคม ก็เป็นหน้าที่ของสื่อทางเลือกนี้แหละ ที่จะท้าทายภูมิปัญญาท้องถิ่นเหล่านี้ ด้วยชุดวาทกรรมท้าทายใหม่ ๆ
ทั้งหมดนี้เพราะอะไร ก็เพราะภารกิจของสื่อทางเลือกนั้น ไม่ใช่อะไรมากไปกว่า การเสนอทางเลือกให้กับสังคม
“นักปฏิวัติท้ายที่สุดแล้วจะเป็นนักปฏิรูปที่ขยันที่สุด ก้าวหน้าที่สุด
ในทางตรงข้าม นักปฏิรูปหากทำการปฏิรูปเพียงลำพังโดยปราศจากเป้าในการปฏิวัติ
ก็จะเป็นผู้รักษาระบบแห่งการกดขี่ที่ขยันที่สุดอย่างขันแข็งที่สุดเช่นกัน”— โรซา ลุกเซมบวร์ก, นักทฤษฎีมาร์กซิสม์และนักปรัชญาสังคมชาวยิวเยอรมันเชื้อสายโปแลนด์
technorati tags: free media, alternative media, cultural hegemony
ว่าจะไปอยู่ ท่าจะเจ๋ง
เชิญร่วม
เสวนา “ศิลปะร่วมสมัยกับการจัดการประวัติศาสตร์” (กรณี 6 ตุลา 19)
อาทิตย์ 6 ก.ค. 2551 9:30-17:00 น.
@ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ซอยทองหล่อ
และ
นิทรรศการศิลปะร่วมสมัย “อดีตหลอน” ('76 Flash Back)
2-23 ส.ค. 2551
@ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ซอยทองหล่อ
งานนี้ริเริ่มโดยศิลปินภาพถ่าย มานิต ศรีวานิชภูมิ ผู้สร้างสรรค์ผลงานภาพถ่าย/การแสดงชุด "Pink Man" (ตัวอย่าง)
รายละเอียดเพิ่มเติม ดูที่บล็อกคนป่วย
technorati tags: contemporary arts, October 6, history
Typographics อนิเมชันโดย Boca (a.k.a. Marcos Ceravolo) และ Ryan Uhrich หลักสูตรออกแบบดิจิทัล Vancouver Film School
ในตอนต้นของหนัง มีคำพูดนี้:
“Typography is What Language Looks Like”
— Ellen Lupton
Ellen Lupton เป็นนักออกแบบกราฟิก นักเขียน ภัณฑารักษ์ และนักการศึกษา เธอเป็นหนึ่งในกลุ่มนักออกแบบ 33 คน ที่ร่วมลงชื่อในคำประกาศ First Things First 2000 manifesto (อ่าน) ซึ่งเป็นการตั้งคำถามถึง คุณค่า ของการออกแบบ นักออกแบบควรจะคำนึงถึงคำถามทางสังคมการเมืองหรือไม่ นักออกแบบควรจะวิพากษ์และประกาศจุดยืนในงานของตัวเองหรือไม่ ตัวอย่างเช่น จะไม่โฆษณาสินค้าหรืออุตสาหกรรมที่เป็นอันตรายต่อสังคม ซึ่งนี่คือคำถามที่นำไปสู่คำถามในเชิงต่อสู้ที่ว่า นักออกแบบและการออกแบบ จะต้านทาน cultural hegemony การครอบงำผูกขาดทางวัฒนธรรม หรือไม่ อย่างไร
Thinking with Type คือหนังสือของเธอ ที่เกี่ยวกับไทโปกราฟี (typography)
ติดตามงานของเธอได้ที่บล็อก Ellen Lupton: Design Writing Research
ไปดูตัวพิมพ์โลดแล่นอย่างมีชีวิต และอย่าลืมว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง สร้างและถูกสร้างความหมายใหม่ ได้
สนใจเรื่องไทโปกราฟี ลองค้นเน็ตดู มีเยอะแยะ อันนี้เป็นอันนึงที่เจอ I Love Typography
Designers who devote their efforts primarily to advertising, marketing and brand development are supporting, and implicitly endorsing, a mental environment so saturated with commercial messages that it is changing the very way citizen-consumers speak, think, feel, respond and interact. To some extent we are all helping draft a reductive and immeasurably harmful code of public discourse.
นักออกแบบที่ทุ่มเทอย่างถวายหัวเพื่อการโฆษณา การตลาด และการสร้างตราสินค้า กำลังสนับสนุนและรับรองโดยอ้อม ต่อภาวะแวดล้อมทางจิตใจที่เปี่ยมปรี่จนเกินรับไปด้วยถ้อยคำเชิงพาณิชย์ ซึ่งมันกำลังเปลี่ยนแปลงวิถีที่ผู้บริโภค-พลเมือง พูด คิด รู้สึก ตอบสนอง และโต้ตอบ เกือบจะพูดได้ว่า พวกเราทั้งหมดกำลังช่วยร่างรหัสความเชื่อสาธารณะที่ก้าวถอยหลังและเป็นอันตรายอย่างหาที่สุดไม่ได้
โฆษณา: ดีไซน์ + คัลเจอร์ โดย ประชา สุวีรานนท์ สนพ.ฟ้าเดียวกัน ออกแล้ว! หนังสือแห่งปีของผม หยิบจับอ่านแล้ว รู้สึกได้เลยว่า ตั้งใจทำมาก ๆ ลองไปหาอ่านไปที่งานหนังสือ บู๊ทฟ้าเดียวกัน (N13) และบู๊ทโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
ads: Design + Culture by Pracha Suveeranont is out now! Published by Same Sky Books. — My Book of the Year.
ปรับปรุง 2008.04.04: แก้ไขคำแปล “citizen-consumers” จาก “ลูกค้า-พลเมือง” เป็น “ผู้บริโภค-พลเมือง” และที่พิมพ์ตก เพิ่มรูปปกหนังสือ “ดีไซน์+คัลเจอร์”
technorati tags: typography, animation, mix, cultural hegemony
วัฒนธรรม(ภาพยนตร์) กับการเมือง
ตอนนี้พื้นที่ในทางสื่อไม่ได้เปิดโอกาส ให้กับบทความเชิงวิเคราะห์ที่เกี่ยวเนื่องกับภาพยนตร์มากนัก ยิ่งถ้าเป็นบทความที่สวนกระแสระเบียบรัด ด้วยแล้ว ยิ่งไปกันใหญ่
หนำซ้ำดูเหมือนกระทรวงวัฒนธรรมจจะบีบคั้นจัดระเบียบความดีงามมากขึ้นทุกที แต่ยิ่งไปก้ยิ่งไกลกว่าความดีงามทุกทีเหมือนกัน
เลยมาลองคิดดูว่าถ้าเราสามารถเปิดพื้นที่ที่จะได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน โดยใช้หนัง หนังสือ ละคร เพลง และปรากฏการณ์ทางสังคม เป็นกระจกสะท้อน ถ้าหลายๆคนช่วยกันเขียนเอามารวมกันคงจะพอสร้างแรงกระเพื่อมให้สังคมได้บ้างไม่มากก็น้อย
แล้ว BLOG นี่ก็ดูเหมือนจะเป็นทางออกที่ดี ฟรี และเปิดกว้างสำหรับทุกคน
นี่จึงเป็นที่มาของการเปิด BLOG CULTURAL POLITICS มองการเมืองผ่านทางวัฒนธรรม โดยบลอกนี้รวบรวมเอาบทความ บทสนทนา ของหลากหลายผู้คน ในหลายมุมมอง ที่มีต่อความเป็นไปในสังคม โดยยึดหลักจากการปรากฏผ่านทางภาพยนตร์ ดนตรี หรือปรากฏการณ์อื่นๆ
คำว่าcultural politics นั้น อาจารย์เกษียร เตชะพีระ เคยเสนอคำแปลไว้ว่า “การเมืองวัฒนธรรม” อันหมายถึง “การต่อสู้ทางการเมืองในปริมณฑลวัฒนธรรม โดยปัจเจกบุคคลและกลุ่มสังคม เพื่อนำเสนอ สื่อสาร ประชันขันแข่งและช่วงชิงยึดครองพื้นที่แห่งนิยามความหมายและคุณค่าต่าง ๆ”
ขอเรียนเชิญทุกท่านที่นไปผ่านมาติดตามชมไปด้วยใจระทึกครับ
[ผ่าน filmsick]
technorati tags: blogs, films, cultural politics
(จาก คนป่วย/จิต(ร์ทัศน์) :P)
เพลง ถ้าคุณทนสิ่งเหล่านี้ ลูกคุณจะเป็นรายต่อไป
โดย นักเทศน์ข้างถนนคลุ้มคลั่ง
อัลบั้ม นี่คือความจริงของฉัน บอกของคุณสิ
อนาคตสอนคุณ ให้อยู่โดดเดี่ยว
ปัจจุบัน ให้หวาดกลัว และเลือดเย็น
หากว่าฉันยิงกระต่ายได้
ฉันย่อมยิงฟาสซิสต์ได้
กระสุนที่สมองคุณวันนี้
แต่เราก็จะลืมมันหมดอีก
อนุเสาวรีย์ ผ่านปากกา กระดาษ
ทำฉันเป็นสิ่งประหลาด ที่ขี้ขลาด
และถ้าคุณทนสิ่งเหล่านี้
ลูกคุณจะเป็นรายต่อไป
และถ้าคุณทนสิ่งเหล่านี้
ลูกคุณจะเป็นรายต่อไป
รายต่อไป
รายต่อไป
รายต่อไป
แรงดึงดูดยังกดหัวฉัน
หรือมันอาจจะอับอาย
ที่ทั้งแสนหนุ่ม และทั้ง แสนไร้ประโยชน์
รูในหัวคุณวันนี้
แต่ฉันผู้รักสันติ
ฉันเคยเดินรัมบลาจอแจ
แต่อย่างไม่ได้ตั้งใจ
และถ้าคุณทนสิ่งเหล่านี้
ลูกคุณจะเป็นรายต่อไป
และถ้าคุณทนสิ่งเหล่านี้
ลูกคุณจะเป็นรายต่อไป
รายต่อไป
รายต่อไป
รายต่อไป
และบนถนนคืนนี้ ชายชราเล่น
กับชิ้นหนังสือพิมพ์ จากวันรุ่งโรจน์เคยเป็น
และถ้าคุณทนสิ่งเหล่านี้
ลูกคุณจะเป็นรายต่อไป
และถ้าคุณทนสิ่งเหล่านี้
ลูกคุณจะเป็นรายต่อไป
รายต่อไป
รายต่อไป
รายต่อไป
(โพสต์ครั้งแรก: 2006.09.26 after-coup; อัปเดต: 2010.05.17 bangkok-killing zone)
tags: If You Tolerate This Your Children Will Be Next | Manic Street Preachers | Thai
เริ่มจาก อ่าน
ขอสนับสนุนฟ้าเดียวกัน และบทบาทของศิลปะในสังคมประชาธิปไตย โดย เคโกะ เซ
anpanpon ก็บล็อกเรื่องนี้
...
Process Art: ความหมายโดย Tate Online | ความหมายโดย Guggenheim Museum (NY) — ที่หลังนี่ เริ่มต้นให้ความหมายว่า:
"ศิลปะกระบวนการ เน้น “กระบวนการ” การสร้างงานศิลปะ (แทนที่จะเป็นการจัดวางหรือผังที่วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว) และความคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงและสภาพที่ไม่ถาวร"
แล้วก็พูดถึงศิลปินคนสำคัญในแนวนี้ ยกตัวอย่างวิธีการสร้างสรรค์ของแต่ละคน ... แต่เหมือนมันจะเกี่ยวกับ(คุณสมบัติของ)วัสดุซะมากกว่า ... อืม ถ้าจะโยงไปหาบทความข้างบนสุดนั่น ซึ่งอ้างถึง Process Art ตอนที่ว่า:
ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่รัฐสภาเยอรมันทำให้มีการอภิปรายเกี่ยวกับงานศิลปะอย่างดุเดือด เมื่อปีค.ศ. 1994 ตอนที่สภากรุงบอนน์มีการอภิปรายว่า จะอนุญาตให้ศิลปินคริสโตห่อหุ้มรัฐสภาเป็นงานศิลปะได้หรือไม่ งานนี้เป็นโครงการที่ศิลปินเลื่องชื่อท่านนี้ได้วางแผนไว้ตั้งแต่ปี 1975 ผลงานของคริสโตเรียกกันว่าเป็นโพรเซส อาร์ต (Process Art – ศิลปะกระบวนการ) ซึ่งหมายถึงประสบการณ์ในศิลปะของคนดูไม่ใช่เพียงแค่ชื่นชมผลลัพธ์ แต่รวมถึงมีส่วนสำรวจกระบวนการสร้างสรรค์เพื่อกระตุ้นความรู้สึกนึกคิดในใจของตน ดังนั้นขอหยิบยกคำปราศรัยในการประชุมสภาของ ส.ส. คอนราด ไวส์ จากพรรคกรีน ซึ่งท่านยอมรับว่าการอภิปรายในสภาก็เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง เพราะเป็นการสรุปข้อเท็จจริงที่สำคัญและเป็นพื้นฐานเกี่ยวกับบทบาทของศิลปะในสังคม
ถ้าจะโยงกันเนี่ย หมายถึงเราจะมอง พลเมือง สังคม อะไรพวกนี้เป็นวัสดุได้ด้วย ?
มัน ก็ น่าจะได้นะ ... in the making ... ถ้าเราคิดว่าสังคมที่เราอยู่กันทุกวันนี้ มันไม่ได้เป็นผลิตภัณฑ์ที่สมบูรณ์ ที่เสร็จสิ้นแล้ว แต่มันกำลังถูกสร้างและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เอ .. คิดแบบนี้มันเข้าแก๊บ โพสต์โมเดิร์น รึเปล่า ? :P
พูดแล้วก็นึกถึง (ซึ่งก็ไม่รู้ทำไม ไม่เห็นมันเกี่ยวกันเลย) ความคิดเรื่อง "sympathy" หรือ "ความเข้าอกเข้าใจ"1 คือ การพยายามทำความเข้าใจคนอื่น ว่าทำไมเขาถึงคิดแบบนั้น ทำแบบนี้ รวมทั้งความพยายามมองตัวเอง ผ่านมุมมองของคนอื่น ว่าเขาจะคิดว่าเราเป็นคนแบบไหน จากข้อมูลที่เขามีไม่ครบถ้วน (ซึ่ง Roger E. Backhouse บอกไว้ใน The Penguin History of Economics ว่า ความคิดเรื่องความเข้าอกเข้าใจนี้เป็นพื้นฐานของ The Theory of Moral Sentiments งานชิ้นสำคัญของ อดัม สมิธ (อดัม สมิธ เป็นที่รู้จักในยุคสมัยของเขาก็ด้วยงานชิ้นนี้ ไม่ใช่จาก The Wealth of Nations ซึ่งเป็นงานที่ดังขึ้นในยุคหลัง2))
สังคมที่ถึงแม้จะไม่สงบ/วุ่นวาย แต่ก็สามารถอยู่กันได้อย่างมีสันติ/สุข น่าจะต้องมีไอ้เจ้า ความเข้าอกเข้าใจ ที่ว่านี่เยอะ ๆ ก่อนรึเปล่า ซึ่งน่าจะนำไปสู่ ภูมิต้านทาน ความยืดหยุ่น "ฉันรับได้" (social tolerance?) ... ศิลปะแบบที่ว่ามาข้างบน (หรือที่ว่าไว้ข้างล่าง) จะช่วยให้ ความเห็นอกเห็นใจ มันเกิดขึ้นได้เร็วขึ้น มากขึ้น เยอะขึ้นมั๊ย?
อย่าง "เลือกxxx ไม่ได้แปลว่า โง่" อะไรอย่างนี้เป็นต้น จะใช้ศิลปะช่วยยังไงดี? :P
Notes: