(เหตุการณ์สมมติ)
เงียบดีจริง
ห้องที่ไม่สามารถบ่งบอกได้ว่า เรากำลังอยู่ที่ไหน
ถ้าไม่นับสติ๊กเกอร์ประหยัดไฟเบอร์ห้าที่ตู้เย็นข้างหน้า
และรายละเอียดปลีกย่อย อย่างชนิดของเต้าเสียบปลั๊กไฟ
จากลักษณะเครื่องเรือน และกลิ่นอายบางอย่างแล้ว
เราพอจะพูดได้ว่า ห้องนี้ อยู่ที่ไหนก็ได้ในเอเชีย
โชคร้ายนิดหน่อย ถ้าจะนับไชน่าทาวน์ด้วย ห้องนี้ อยู่ที่ไหนก็ได้ในโลก
รอบห้องสี่เหลี่ยม มีหน้าต่างเพียงบานเดียว มองออกไปมีแต่ความมืด
เนื่องจากความมืดสนิทนั้นเป็นสากล ดังนั้นมันจึงไม่มีประโยชน์ในการบ่งชี้
ผมนั่งอยู่บนเตียง
เครื่องคอมเครื่องนี้ หอบหิ้วมาจากกรุงเทพ วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง
โต๊ะข้างเตียง ในความหมายว่ามันคือ โต๊ะ-ที่อยู่-ข้างเตียง
ว่ากันโดยลักษณะแล้ว มันไม่ใช่โต๊ะข้างเตียงอย่างที่คนทั่วไป (รวมทั้งตัวผมเอง) จะจินตนาการถึง
แต่โต๊ะข้างเตียง (เอ๊ะ หรือ โต๊ะหัวเตียง ?) ที่มีอยู่ในห้องนี้มันเตี้ยเกินไป วางคอมแล้วใช้ไม่ถนัด
ผมเลยลากเอา โต๊ะเครื่องแป้ง (เดาว่าอย่างนั้น มันอยู่หน้ากระจก) มาวางข้างเตียงแทน
สุดท้ายแล้ว คำเรียกขาน ไม่เคยจำกัดประโยชน์ใช้สอยของสิ่งใดได้ หากผู้ใช้ไม่ไปจำกัดมันเสียเอง
เป็นการคุยโทรศัพท์ต่อเนื่องครั้งมโหฬารของผม ในรอบ ไม่รู้เหมือนกัน นานทีเดียวล่ะ
ก่อนที่จะทำงานนิดหน่อย เข้าห้องน้ำ แล้วมาพิมพ์ข้อความถึงตรงนี้
ผองเพื่อนทั้งหลาย ต่างเดือดร้อนกันถ้วนหน้า - ห้าราย ไม่รวมน้องชาย ที่ไม่รับสาย - เสียงเพลงคงดัง
มีเรื่องไม่สบายใจ ซึ่งสาเหตุมาจากตัวผมเองทั้งสิ้น เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ นั่นแหละ จะมีอะไร
สุดท้ายที่ที่เลือกจะเดินทางมา ก็คือที่นี่
สถานที่นั้น ถึงตั้งแต่เมื่อบ่ายแล้ว เร็วกว่านั่งรถกลับบ้านเสียอีก
ส่วนคนนั้น คงยังไม่ถึงแน่
ในหลายครั้ง ผมมักพูดว่า ผมเดินทางไปสู่ผู้คน ไม่ใช่สถานที่
สำหรับจุดหมายนี้ ทางน่าจะยังอีกไกล หรืออาจจะไม่มีวันถึงเลยก็ได้
อยู่ดี ๆ ผมก็มาเชียงใหม่
คิดได้เมื่อตอนเช้า
อยากมาจัด ๆ รอบหนึ่ง เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมานี่เอง
แต่คิดอยู่หลายรอบ คงไม่เหมาะ ไม่ดีกว่า
จนกลางดึกเมื่อคืน ก็เริ่มคิดอีก
จนเมื่อเช้า ตื่นขึ้นมา เฮ้ย ไปว่ะ
ตอนบ่ายก็อยู่ที่นี่เสียแล้ว
ทุกการเดินทางไปหา มีการเดินทางออกจาก ครั้งนี้ก็เหมือนกัน
ในกราฟ มี จุด และ เส้น เชื่อมกัน เป็นเครือข่าย
การเดินทางในกราฟ ก็คือการเดินจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง ผ่านทางเส้นที่เชื่อมจุดสองจุดนั้นอยู่
ในไฟไนต์เสตทแมชชีน ลักษณะเช่นนี้ คือ ทรานสิชั่น - การเปลี่ยนผ่าน
การเปลี่ยนผ่าน ไม่เพียงจะเป็นการเดินทางไปสู่จุดหนึ่ง และออกห่างจากจุดหนึ่งเท่านั้น แต่ทุกการเปลี่ยนผ่านในไฟไนต์เสตทแมชชีน ยังหมายถึงการเลือก เลือกว่าจะเดินผ่านทางเส้นไหน
เส้นที่เลือกนี้อาจจะนำไปสู่จุดคนละจุดกัน หรือนำไปสู่จุดจุดเดียวกันก็ได้
ในบางครั้ง เมื่อเจอช่วงชีวิตที่ไร้ทางเลือก นั่นก็คือเราเดินทางมาถึงจุดที่มีเส้นเชื่อมออกไปเพียงเส้นเดียว
ส่วนจุดที่ไม่เส้นเชื่อมออกไปเลยนั้น ใช่แล้ว มันคือจุดจบนั่นเอง
กราฟชีวิตของคนเรา น่าจะเป็นกราฟอวัฏจักรระบุทิศทาง เพราะเราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปในอดีตได้
หากเรามองเห็นกราฟชีวิตของตัวเองทั้งหมดล่วงหน้า
การเปลี่ยนผ่านแต่ละครั้งคงจะง่ายดาย คำนวณมัน ชั่งน้ำหนักมัน ไปตามทางที่เราเห็นว่าดีที่สุด
(จะเรียกว่าโชคชะตาก็ได้ การเลือกทางเดินนี้ ไม่ได้มาจากการตัดสินใจของเราเองทั้งหมด
เช่น หญิงสาวคู่ขนานใน Sliding Doors เดินทางสองทางที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ด้วยเหตุว่ามีเด็กคนหนึ่งวิ่งมาชนเป็นจุดผลิกผัน อย่างไรก็ดี ทางทั้งสองที่แสนจะต่างกันนั้น กลับมาบรรจบที่จุดที่ใกล้เคียงกันอย่างน่าประหลาด-น่าเศร้า)
จุดที่สำคัญในกราฟชีวิตนี้ อาจจะเป็นจุดที่แบ่งแยกกราฟออกเป็นกราฟย่อย ๆ ที่แยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด
นั่นคือ ณ จุดสำคัญนี้ เมื่อเลือกเดินไปตามเส้นใดก็ตาม จุดและเส้นหลังจากนั้น จะไม่เหมือนกับจุดและเส้นที่อยู่หลังเส้นอื่น ๆ ที่เหลืออีกเลย - ไม่มีทางที่จะไปบรรจบกันอีก ณ จุดอนาคตใด ๆ
ทุกชั่วขณะ เรามองเห็นก็แต่จุดปัจจุบันและเส้นที่เชื่อมออกไปจากจุดปัจจุบันนี้เท่านั้น
จุดและเส้นต่าง ๆ ในอดีต อาจเป็นบทเรียนให้เราได้
แต่ท้ายที่สุด ไม่มีอะไรประกันได้ว่า จุดและเส้นในอนาคต จะเป็นไปในลักษณะที่คาดหวัง มีความไม่แน่นอนเสมอ
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เมื่อถึงตา ก็ต้องเดิน
ด้วยรู้จากการสังเกตว่า กราฟชีวิตของเราทุกคนนั้น ต่างทับซ้อน หรือ ใช้จุดและเส้นร่วมกัน อยู่ในบางส่วน
หวังว่าเส้นข้างหน้านี้ จะนำไปสู่จุดที่คนคนนั้นกำลังเดินทางเข้าสู่เช่นกัน
ทางใครทางมัน ไม่ต้องเดินเส้นเดียวกัน ขอเพียงได้ไปสู่จุดเดียวกัน ให้มากครั้งที่สุด นั่นก็วิเศษสุดแล้ว
4 comments:
ตอนเรียนวิชา Man and Modern World ตอนป.ตรี อาจารย์ท่านพูดว่าเด็กมอชอใช้ชีวิตอยู่กับการเคลื่อนที่ระหว่างเกาะสามสี่เกาะ เช่น เกาะอมช. เกาะคณะ เกาะหน้ามอ เกาะฝายหิน แต่ไม่เคยรับรู้เรื่องราวระหว่างการเดินทางระหว่างเกาะแต่ละเกาะเลย
บางที edge ก็น่าสนใจมากกว่า vertex นะ ว่ามะ :)
เป็น reflection ที่เต็มไปด้วยข้อสังเกต ความคิด และความรู้สึก
เนียนมาก!
อืม มีสาเหตุแบบนี้นี่เอง
ดูซิ จะเขียนเรื่องความรัก ยังมีทฤษฎีมาประกอบ
แล้วมันจะ "express your love" สำเร็จไหมล่าาาาาาา
Post a Comment