ย้ายบล็อกไปที่ bact.cc แล้วนะครับ

พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
หยุด ร่างพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
พื้นที่เก็บข้อมูลออนไลน์ ฟรี 2GB จาก Dropbox (sync กับ Windows, Linux, Mac, iPhone, Android ฯลฯ ได้)

2011-02-02

คำถามจากนักข่าวญี่ปุ่น: โครงสร้างอำนาจ และความรับผิดชอบ

วิดีโอ สำนักงานกฎหมายอัมสเตอร์ดัมแอนด์พีรอฟฟ์ ร่วมกับ นปช. แถลงข่าว การยื่นคำร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (2011.01.31)

ระหว่างการถามตอบข้อสงสัย นักข่าวญี่ปุ่น ยามาดะ จากหนังสือพิมพ์อาซาฮี ชิมบุน ถามอัมสเตอร์ดัมว่า จะทำให้อำนาจอื่น ๆ ในโครงสร้างอำนาจในสังคมไทย รับผิดชอบต่อเหตุการณ์นี้ได้อย่างไร?
[ชั่วโมงที่ 2:11; แปลอังกฤษ 2:12; ไทย (แปลไม่เต็ม) 2:13]

ผมคิดว่าคำถามของนักข่าวญี่ปุ่นคนนี้น่าสนใจ และผู้แปลภาษาไทยในงานแถลงข่าว แปลไว้น้อยกว่าที่นักข่าวเขาพูด เลยขออนุญาตแปลแบบสรุปความ (จากภาษาอังกฤษซึ่งถูกแปลมาจากญี่ปุ่นอีกที) ไว้ในบล็อกนี้, ยามาดะถามว่า:

ผมเชื่อว่าโครงสร้างอำนาจที่สถาปนาอยู่ในสังคมไทยนั้นซับซ้อนมาก

ใช่ นายกอภิสิทธิ์คือเป้าหมายของคุณในขณะนี้ แต่อภิสิทธิ์เป็นตัวแทนของรัฐบาล ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในองค์ประกอบอำนาจที่สถาปนาอยู่ในขณะนี้

คุณยังมี กองทัพ คณะองคมนตรี และ royal elements คุณจะจัดการยังไงกับองค์ประกอบในโครงสร้างอำนาจเหล่านั้น

ผมขอแสดงความคิดเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่เพียงเกิดขึ้นผ่านฝ่ายบริหารเท่านั้น ยังมีการตัดสินใจและการดำเนินการที่ทำผ่านองค์ประกอบโครงสร้างอำนาจอื่น

คุณคิดจะติดตามอย่างไรต่อเพื่อให้องค์ประกอบอื่น ๆ นั้นรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย

นี่คือมุมมองจากภายนอก ถึงโครงสร้างอำนาจทางการเมืองไทย ซึ่งจริง ๆ นักข่าวไทยก็คงไม่ได้ naïve ไม่รู้ประสีประสา เพียงแต่มีข้อจำกัดในการทำงาน และองค์กรของตัวเองก็อยู่ในโครงสร้างอำนาจที่ว่านั่นด้วย ก็เลยเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่า คำถามแบบนี้ ถ้าเขาจะไม่ถามกัน ก็ว่ากันไม่ได้นะ

ตัววิดีโอทั้งหมดยาว 2:27 ชั่วโมง เป็นช่วงการถ่ายทอดจากญี่ปุ่นจริง ๆ ประมาณ 2 ชั่วโมง

เนื้อหาเป็นการตอบคำถามเรื่องคำร้องต่อสำนักงานอัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ ICC ซึ่งสำนักงานกฎหมายอัมสเตอร์ดัมแอนด์พีรอฟฟ์ ยื่นในนามของ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ

เอกสารคำร้องฉบับเต็ม ภาษาอังกฤษ ยาว 294 หน้า (มีฉบับแปลไทยด้วย), ถ้าไม่มีเวลา ก็มีแบบสรุป Executive Summary 7 หน้า

ปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ สรุปประเด็นสำคัญเอาไว้ 3 ส่วน พร้อมข้อสังเกตส่วนตัวแนบท้าย


ดาวน์โหลดเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้ที่เว็บไซต์ Accountability Project (thaiaccountability.org)
และที่บล็อกของโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม (robertamsterdam.com/thailand/ หรือภาษาไทย: robertamsterdam.com/thai/)

technorati tags: , , , , ,

2011-01-31

Francis Ford Coppola: "Who Says Artists Have to Make Money?"

ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา ผู้กำกับ Godfather ให้สัมภาษณ์เว็บไซต์ 99%, ถาม ใครบอกว่าศิลปินต้องทำงานเพื่อเงิน? (สัมภาษณ์โดย @Aristonian)

คุณต้องจำไว้ว่ามันแค่ไม่กี่ร้อยปีมานี้เอง, ถ้ามันมากขนาดนั้น, ที่ศิลปินทำงานด้วยเงิน. ศิลปินไม่เคยได้เงิน. ศิลปินมีผู้อุปถัมภ์, ไม่เจ้าเมือง ก็ดยุคแห่งไวมาร์ หรือที่ไหนสักแห่ง, หรือศาสนจักร, หรือโป๊ป. หรือไม่เขาก็มีงานอีกงานหนึ่ง. ผมมีงานอีกงาน. ผมทำหนัง. ไม่มีใครบอกผมให้ทำอะไร. แต่ผมทำเงินจากอุตสาหกรรมไวน์. คุณทำงานอีกงาน แล้วตื่นตีห้าเพื่อเขียนบทของคุณ.

ความคิดที่ว่าเมทัลลิกาหรือนักร้องวงร็อคแอนด์โรลอะไรก็ตามจะรวย, มันไม่จำเป็นจะต้องเกิดขึ้นแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว. เพราะ, ในขณะที่เราก้าวเข้าสู่ยุคใหม่, ศิลปะอาจจะเป็นของฟรี. นักเรียนพวกนั้นอาจจะถูกต้องก็ได้. พวกเขาควรจะโหลดเพลงและหนังได้. ผมจะถูกยิงที่พูดแบบนี้. แต่ใครบอกว่าเราต้องจ่ายเงินเพื่อศิลปะ? และดังนั้น, ใครบอกว่าศิลปินต้องหาเงิน?

ในสมัยก่อน, 200 ปีที่แล้ว, ถ้าคุณเป็นนักแต่งเพลง, ทางเดียวที่คุณจะทำเงินได้คือเดินทางกับคณะออเคสตรา และเป็นผู้ควบคุมวง, เพราะนั่นจะทำให้คุณได้รับเงินในฐานะนักดนตรี. มันไม่มีการบันทึกเสียง. มันไม่มีค่าลิขสิทธิ์. ดังนั้นผมจะพูดว่า พยายามแยกความคิดเรื่องภาพยนตร์ออกจากความคิดเรื่องการหาเงินและหาเลี้ยงชีพ. เพราะมันมีทางอื่นอยู่.

จาก 99% Francis Ford Coppola: On Risk, Money, Craft & Collaboration ผ่าน OSNews

ผู้อุปถัมภ์ปัจจุบันนี้ คือแฟน ๆ ? คอนเสิร์ต ? ดิจิทัลดาวน์โหลด ?

technorati tags: , ,

2011-01-30

การเมือง ว่าด้วย คลิปหลุด

จากเสวนา การเมืองว่าด้วยคลิป: พื้นที่ส่วนตัว/สาธารณะ ในงานคลิปคิโนะ เมื่อ 18 ธ.ค. 2553 คุยกับนักวิชาการด้านวัฒนธรรม ด้านสื่อ และคนที่อยู่ในวิชาชีพสื่อสารมวลชน เรื่องคลิป ๆ และเรื่องหลุด ๆ กับการเมืองของความเป็นส่วนตัวและความเป็นสาธารณะ

ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าทั้งสองคำมีความหมายว่าอะไร ? มากเท่ากับเส้นแบ่งขอบเขตที่เป็นประเด็นปัญหามากกว่า เรานิยามสิ่งหนึ่งให้เป็นคู่ตรงข้ามของอีกสิ่งหนึ่ง เราจะนิยามเส้นแบ่งว่ามันคืออะไร ซึ่ง ณ เวลานี้คิดว่ามันเริ่มพร่ามัวขึ้น — วันรัก สุวรรณวัฒนา

Social Media มีความทับซ้อนพอสมควร ว่าเรื่องส่วนตัวหรือสาธารณะคืออะไร บางสิ่งเราอาจอยากนำเสนอสำหรับคนไม่กี่คน แต่บางทีมันกระจายออกไปได้วงกว้าง ซึ่งในบางครั้งเราไม่สามารถจำกัดขอบเขตการรับรู้ได้ มันมีการ tag ต่อไปเรื่อย ๆ — มานะ ตรีรยาภิวัฒน์

คนสามารถแสดงความเป็นส่วนตัวในพื้นที่สาธารณะได้ ในทางกลับกันทำให้สาธารณะมาสู่พื้นที่ส่วนตัวได้ ... สื่อไม่ได้มีหน้าที่ในแง่การกระจายข่าวอย่างเดียว แต่มีเรื่องของการสร้างมิติความสัมพันธ์ให้มากขึ้น — เกษม เพ็ญภินันท์

สื่อหลักไม่ได้กลัวรัฐบาล เรากลัวความสัมพันธ์กับคนหลายฝ่าย ทั้งเพื่อนเราหรือคนในองค์กร เราจะจัดการอย่างไร — ปราบต์ บุญปาน

ดาวน์โหลดบันทึกการเสวนา (PDF และ OpenDocument) ได้ที่เว็บไซต์เครือข่ายพลเมืองเน็ต

การเมืองว่าด้วยคลิป: พื้นที่ส่วนตัว/สาธารณะ

technorati tags: , , ,

2011-01-19

ตลก ภาพยนตร์ คลังปัญญาไทย "Wisdom Society" [update]

สุดเขตสเลดเป็ด เป็นภาพยนตร์ที่ตลกดีนะครับ หัวใจหล่อมาก

"ภาพยนตร์" @ คลังปัญญาไทย

จากบทความ ภาพยนตร์ เว็บไซต์คลังปัญญาไทย

ภาพยนตร์ [ลิงก์ไป http://www.movie.kapook.com/] (Cinematographic Works) หมายถึง สื่อเคลื่อนไหวที่สะท้อนเหตุการณ์ทางสังคม การเมือง และ วัฒนธรรมที่สร้างขึ้นเป็นระบบมาตรฐานโดยฝีมือคนไทย ได้แก่ ภาพยนตร์ข่าว ภาพยนตร์สารคดี ภาพยนตร์เรื่อง เป็นต้น ผู้ที่มีบทบาทสำคัญต่อวงการภาพยนตร์ที่อยู่ในข่ายการพิจารณาผลงาน ได้แก่ ผู้สร้าง ผู้กำกับ นักพากย์ นักแสดง ผู้ประพันธ์เพลงประกอบ

ภาพยนตร์ คือ ไม่ว่าจะเป็นชนิดฟิล์มเนกาทิฟ (negative) หรือฟิล์มโพซิทิฟ (positive) ซึ่งได้ถูกถ่าย อัด หรือกระทำด้วยวิธีใด ๆ ให้ปรากฏรูปหรือเสียงหรือทั้งรูปและเสียง เป็นเรื่องหรือเหตุการณ์ หรือข้อความอันจักถ่ายทอดรูปหรือเสียง หรือทั้งรูปและเสียงได้ด้วยเครื่องฉายภาพยนตร์หรือเครื่องอย่างอื่นทำนองเดียวกัน และหมายความตลอดถึงฟิลม์ซึ่งได้ถูกถ่าย อัด หรือทำด้วยวิธีใด ๆ ให้ปรากฏสี เพื่ออัดลงในฟิลม์ชนิดดังกล่าว เป็นสาขาที่สร้างสรรค์ผลงานทางศิลปะในรูปของภาพเคลื่อนไหว และเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมบันเทิงภาพยนตร์ คือ ภาพนิ่ง หลาย ๆ ภาพเรียงติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง และเมื่อนำเอาภาพนิ่งเหล่านั้นมาฉายดูทีละภาพด้วยอัตราความเร็วในการฉายต่อภาพเท่า ๆ กัน ภาพนิ่งเหล่านั้นจะกลายเป็นภาพเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่องกันเป็นธรรมชาติ

  • ยังไม่ต้องดูเนื้อหา เอาแค่การเขียนก่อน มันคืองานตัดแปะน่ะ ย่อหน้าแรกจากเว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ย่อหน้าสองจากวิกิพีเดียไทย แล้วเพิ่มคำว่า ภาพยนตร​์ หมายถึง/คือ เข้าไปต้นประโยค ให้มันดูดีขึ้น(?)
  • ที่เนื้อหา ย่อหน้าแรกที่ตัดมาแปะ จริง ๆ แล้วไม่ได้เป็นความหมายหรือเรื่องเกี่ยวกับภาพยนตร์ แต่เป็นเกณฑ์การคัดเลือกศิลปินแห่งชาติ ... คือมันผิดฝาผิดตัว
  • เข้าใจว่า KPI 80,000 เรื่อง (ฉลอง 80 พรรษา™ [cliché]) นี่คงนับจำนวนเอาอย่างเดียว เนื้อหาจะยังไงก็ช่างมันเถอะ เพราะนี่มันงานการกุศล (อาสาสมัคร ทำฟรี?)
  • เด็กและเยาวชน (ตามภาษาใน หลักการและเหตุผล ของโครงการ) จะได้อ่านอะไรก็ช่างเขาเถอะ ถูกบ้าง ผิดบ้าง มีสาระบ้าง ไม่มีบ้าง ก็ดีกว่าไม่มีอะไรให้อ่าน (เช่น ให้เด็กเข้าใจว่า ภาพยนตร์คือ สื่อเคลื่อนไหว...ที่สร้างขึ้นเป็นระบบมาตรฐานโดยฝีมือคนไทย เป็นต้น)
  • ที่สัญญาอนุญาต เนื้อหาย่อหน้าสอง นำมาจากวิกิพีเดียไทย ซึ่งอนุญาตให้เผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ แบบแสดงที่มา-อนุญาตแบบเดียวกัน ซึ่งเงื่อนไขหนึ่งคือ ต้องแสดงสัญญาอนุญาตให้เห็นชัดเจนด้วย แต่หาไม่พบในเว็บไซต์คลังปัญญาไทย
  • มันเป็นวิกิ ใคร ๆ ก็ใส่เนื้อหาได้ ตาม log แจ้งว่า ผู้ใส่ 2 ย่อหน้านั้น คือ Sawitree.bunditcenter (ชื่อพ้องกับ บัณฑิตเซ็นเตอร์ หรือ kapook.com หนึ่งใน พันธมิตรเนื้อหา และเป็นโฮสต์ให้กับเว็บไซต์คลังปัญญาไทย)
    Kapook.com links inserted to PanyaThai wiki
  • น่าสนใจ ที่คำว่า ภาพยนตร์ คำแรกเลย ลิงก์ไปหาหน้าเว็บภาพยนตร์ของกระปุก.คอม http://www.movie.kapook.com/ เราสามารถสงสัยได้ว่าหน้าเว็บดังกล่าว มีความเกี่ยวข้องหรือคุณค่าในทางเนื้อหามากน้อยเพียงใด ที่จะถูกบรรจุไว้ในบทความนี้ (เพื่อการเปรียบเทียบ บทความ ภาพยนตร์ ในวิกิพีเดียไทย มีลิงก์ไปหา 2 เว็บไซต์ คือศูนย์รวมข้อมูลหนังไทยของมูลนิธิหนังไทย กับเว็บไซต์ IMDb) อย่างไรก็ตามการมีลิงก์จากคลังปัญญาไทยไปยัง kapook.com น่าจะทำให้มีทราฟฟิกวิ่งไปหา รวมถึงมีผลในทาง ranking อันดับเว็บด้วย (SEO)
  • มันเป็นวิกิ ใคร ๆ ก็ใส่เนื้อหาได้ ตาม log แจ้งว่า ผู้ใส่ลิงก์นั้น คือ Sweetmuffin
    Kapook.com links inserted to PanyaThai wiki
  • ถ้าไปดูปูมแก้ไขบทความของ Sweetmuffin ในคลังปัญญาไทย จะเห็นว่า เต็มไปด้วยการแทรกลิงก์ไปหาหน้าเว็บใน kapook.com เช่น ภูกระดึง, พิพิธภัณฑ์, สมุนไพร, เกย์, ...
  • คลังปัญญาไทย จัดทำโดย สมาคมผู้ดูแลเว็บไทย ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ โดยมี กระทรวงศึกษาธิการ Pantip.com Kapook.com เป็นพันธมิตรสนับสนุนเนื้อหา
  • หลังจากที่โครงการนี้ เจ๊ง ดันไม่เกิด ผ่านไป 3 ปี รัฐบาลไทยมีโครงการ คลังความรู้ อันใหม่อีกแล้ว จ้างบริษัท AsiaOnline ใช้คอมพิวเตอร์แปลบทความในวิกิพีเดียอังกฤษ ให้เป็นไทย คาดว่าจะเป็นโครงการถลุงเงินเล่นเช่นกัน (contribution ในแง่เทคโนโลยี machine translation นั้น อาจจะมี เป็นตัวทดสอบ เป็น dataset สำหรับการวิจัยต่อไปในอนาคตก็ว่าไป แต่ในแง่การเป็นสารานุกรม-ที่แก้ไขปรับปรุงได้-นั้นไม่น่าจะรอด ไม่มีชุมชนเข้าไปร่วมด้วย และสำหรับกรณีเทคโนโลยีการแปลภาษา ใครจะเป็นผู้ได้ร่วมถือสิทธิ์ในเทคโนโลยีนั้น? ... กรณีนี้รัฐไทยเอาเงินไปลงด้วย)
  • อย่างไรก็ดี โครงการคลังปัญญาไทย ก็เป็นโครงการที่มีประโยชน์มาก โดยเฉพาะหน้า หลักการแลเหตุผล ที่จะเป็นตัวอย่างให้เราศึกษาได้ว่า ความเชื่อหรือมายาคติเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตชนิดไหน ที่เราสามารถนำมาใช้เขียนเพื่อเป็นข้อเสนอโครงการ เพื่อขอทุนฯลฯ ได้บ้าง สมควรคั่นหน้าเอาไว้อย่างยิ่ง (ความรู้ส่วนหนึ่งที่สกัดได้จากหน้านี้: ภัยทางอินเทอร์เน็ต เว็บไซต์ไม่เหมาะสม ลามกอนาจาร ความรุนแรง การนัดกันไปฆ่าตัวตายผ่านเว็บไซต์ การใช้อินเทอร์เน็ตอย่างสร้างสรรค์ ถวายเป็นพระราชกุศล พระบรมราโชวาท นวัตกรรม เว็บ 2.0 ความรู้อย่างพอเพียง จิตสาธารณะ ... ลองเอาไปใส่ใน proposal ดูนะครับ)
  • เรื่องตรวจสอบก็อย่าไปพูดอะไรมาก คนในวงการเดียวกัน ก็ต้องช่วย ๆ กัน แล้วทุกอย่างที่ทำก็เพื่อชาติเพื่อแผ่นดินด้วย จะตรวจสอบมาก ๆ คนไทยหรือเปล่า ? มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ คิดลบ ไม่คิดบวก

เพิ่ม 20 ม.ค. 2554 มีผู้แจ้งมา (จาก Facebook) ให้ไปดูที่ท้ายหน้า http://bhumibol.panyathai.or.th/ จะพบเนื้อหาส่วน พระอัจฉริยภาพ ที่ใส่มาตั้งแต่ปี 2550 มีเรื่องพระเจ้าเอกทัศน์ด้วยแฮะ (= เยาวชนไทยจากโรงเรียนทั่วประเทศ ก็เรียนรู้แบบนี้มาได้ 3 ปีแล้ว)

bhumibol.panyathai.or.th

เรื่องนี้โทษใครเป็นรายบุคคลไม่ได้เลยจริง ๆ เพราะลักษณะของวิกิ มันเปิดให้ใคร ๆ ก็เข้ามาแก้ไขได้ (แต่หน้านี้ก็เป็นลิงก์ที่อยู่กลางหน้าแรกเลยนะ หรา) ดังนั้นก็เป็นไปได้ ที่จะถูกป่วน หรือมีเนื้อหาที่ไม่มีคุณภาพถูกใส่เข้ามา อยากได้ของดี ๆ ก็ต้องช่วยกันทำ ว่างั้น

อย่างไรก็ตาม มันก็สะท้อนความล้มเหลวของโครงการเช่นกัน ในการจะสร้างชุมชนขึ้นมา เพื่อพัฒนาเนื้อหาให้มีคุณภาพ

โครงการอย่างวิกิพีเดียไทย ก็ประสบปัญหาเช่นนี้ไม่ต่างกัน มีการตัดแปะเนื้อหาที่ไม่ได้คุณภาพมาใส่อยู่เสมอ ๆ ที่ต่างก็คือ มันมีชุมชนที่จะมาช่วยกันแก้ ช่วยกันเกลา ช่วยกันตรวจสอบ (แล้วมันก็รันของมันมาได้ 8 ปี บนพื้นฐานของงานอาสาสมัครล้วน ๆ มีบทความแล้ว 65,000 บทความ)

พูดง่าย ๆ ว่า ถึงทีมคลังปัญญาไทย จะบอกว่าประสบความสำเร็จในแง่ จำนวนบทความ และจำนวนคนเข้าดู (ซึ่งก็ต้องโน๊ตไว้ด้วยว่า เป็นเชิงปริมาณ ไม่ได้พูดถึงเชิงคุณภาพ) แต่ก็ล้มเหลวในแง่ผลักดันให้เกิดชุมชนเพื่อเนื้อหาคุณภาพ ตามที่บรรยายไว้ในหน้าอธิบายโครงการว่า: สามารถตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลเองได้ เพื่อให้แหล่งข้อมูลนี้ สามารถขยายตัวได้เร็ว อีกทั้งยังมีเนื้อหาที่กว้างขวาง หลากหลายและมีคุณภาพ โดยการเปิดโอกาสให้เกิดความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญในความรู้สาขาต่างๆในเชิงสร้างสรรค์ — ลองดูจากปูมการแก้ไข (ย้อนหลัง 2500 ครั้ง ซึ่งก็ย้อนไปถึงม.ค. 2551 โน่น) มีที่ active อยู่น้อยคนมาก ที่เข้ามาแก้บ่อย ๆ และก็ดูจะหายไปหมดแล้ว

สภาพคลังปัญญาไทยตอนนี้ก็เลยไม่ต่างอะไรกับถังใส่บทความตัดแปะ ที่พอพ้นช่วงเปิดตัว ลงสื่ออะไรกันเสร็จ ก็ทำต่อสักพัก แล้วก็ปล่อยมันไว้อย่างนั้นแหละ (แต่ก็ยังดีกว่าเว็บไซต์หลายอันที่ทำแล้วทิ้งจริง ๆ นะ พวกไม่ต่ออายุโดเมนอะไรแบบนี้) ตลกที่ร้ายกว่าคือ พอเมษายน 2553 มันก็ถูก monetize ใช้ประโยชน์ ด้วยการใส่ลิงก์ในบทความต่าง ๆ ให้ชี้ไปหาเว็บท่าที่โฮสต์เว็บไซต์คลังปัญญาไทยอยู่ (kapook.com) (ซึ่งเรื่องนี้ไม่พบอยู่ใน หลักการและเหตุผล แต่อย่างใด)

มีประโยชน์มั๊ย มี ทุกอย่างมีที่ทางของตัวมันเอง อินเทอร์เน็ตเป็นพื้นที่อิสระ เราจะใส่อะไรเข้าไปก็ได้ ประเด็นมันอยู่ที่ว่า คุณจะเคลมอะไร แค่นั้นแหละ เคลมอะไร ไปเพื่ออะไร แล้วสุดท้ายจริง ๆ แล้วคุณทำอะไร

เพิ่ม 20 ม.ค. 2554 14:37 พบว่า เซิร์ฟเวอร์ของคลังปัญญาไทย วันที่ไม่ได้ตั้งให้ตรงกับเวลาจริงนะครับ ที่ตรวจสอบ ณ ปัจจุบัน (จากหน้า ปรับปรุงล่าสุด) เวลาของเซิร์ฟเวอร์วันนี้ (20 ม.ค. 2554) ระบุว่าเป็นวันที่ 25 เมษายน 2547 ... หนักข้อเลยครับ สงสัยจะไม่ได้ดูแลจริง ๆ - -"

ทางบ้านส่งมาทาง Google Buzz:

strong-fuckyou

oh-kapook

technorati tags: , , , ,

2011-01-02

My Moving Moving 2010 in Moving Pictures

ภาพเคลื่อนไหวจาก 2553 ปีแห่งการ เคลื่อนที่ ของผม

ปีที่ผ่านมา ถ่ายรูป ถ่ายวีดิโอ อัดเสียง ไว้เยอะมาก จากงานต่าง ๆ ที่โน่นนี่ รวมทั้งบนท้องถนน แต่ก็เป็นลักษณะถ่ายเก็บ ๆ เสียส่วนมาก คือเก็บเข้ากรุไปเลย ไม่ได้ดู ไม่ได้เอามาทำอะไรเท่าไหร่นัก เหมือนว่าในโลกแห่งสื่อดิจิทัล ที่การบันทึกมันทำได้ง่าย ได้เร็ว ได้ถูก เราก็เอาแต่บันทึก แต่ไม่ค่อยได้กลับมาย่อยของพวกนี้เข้าหัวเท่าไหร่

ช่วงสัปดาห์ท้ายปี คาบเกี่ยวปีใหม่ มีโอกาสถอดเทปของที่ค้างไว้ (จากงาน Open Data - ยังมีค้างอยู่สองคน) แล้วก็มาตัดต่อวีดิโอจากปาร์ตี้ จากงาน และจากเรียน วันนี้คิดว่าน่าจะโพสต์ ๆ รวมไว้เสียหน่อย รวมถึงวีดิโออื่น ๆ ในปีที่ผ่านมาด้วย (ยังมีของค้างจาก Mekong ICT Camp 2 ที่รอเพื่อนตัดอยู่ ชุดนั้นเยอะมาก)

วีดิโอคลิปส่วนมาก ถ่ายจาก Kodak PlaySport Zx3 (ใช้สนุกดี) และ Canon PowerShot G10 แล้วเอามาตัดต่อด้วยโปรแกรม iMovie '09 เป็นโปรแกรมใช้ได้คล่องมือแล้วพอสมควร

เหล่านี้คือ ภาพ/ภาพ จาก สายตา/สายตา ของผม



กึ่ง/สาระ/รูป : พื้นที่ กลาง ๆ กับ ชุมชน มหาวิทยาลัย (เวิร์กช็อปการทำสารคดี มานุษยวิทยาสถาปัตยกรรม ศิลปากร; 2010.12.22) ↓↓↓



ปาร์ตี้ แบบพอเป็นพิธี - Happy New Year เบา เบา (เฮฮากับนักเรียนมานุษยวิทยา; 2010.12.21) ↓↓↓



ปัตย์ ศรีอรุณ : คน เมือง พื้นที่ออนไลน์ (ออนไลน์ศึกษา เน็ตติเซ่นมาราธอน 2553; 2010.11.23) ↓↓↓



I say something (ร้องเพลงบนถนน Ximending ไทเป; 2010.10.28) ↓↓↓



Sean Ang: Social Media, Democracy, and Asian Values (ผู้อำนวยการ Southeast Asian Centre for e-Media (SEACeM) @ Internet Governance Forum ครั้งที่ 10; 2010.09.xx) ↓↓↓



Internet Governance and Human Rights: Frank La Rue (ผู้รายงานพิเศษว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิในเสรีภาพในการแสดงออก แห่งองค์การสหประชาชาติ @ IGF10; 2010.09.13) ↓↓↓



Internet Governance and Human Rights: Anriette Esterhuysen (ผู้อำนวยการบริหาร Association for Progressive Communications (APC) @ IGF10; 2010.09.13) ↓↓↓



ปอกมะม่วง แบบบันดุง Mango crafting - Bandung fruit cart (บันดุง อินโดนีเซีย; 2010.07.xx) ↓↓↓



@pruet โชว์น้ำจิ้ม ถก e-read #BarCampCM (บาร์แคมป์เชียงใหม่ 3; 2010.06.12) ↓↓↓



วิธีดูช่อง 11 NBT เพื่อความสมานฉันท์ (anti-propaganda; 2010.03.22) ↓↓↓



มีอีก ที่ arthittube

2553 เป็นปีที่มีอะไรเกิดขึ้นเยอะแยะเยอะแยะ ทั้งกับสังคมรอบตัวที่ผมต้องอยู่กับมันหรือผ่านไปเจอมัน โดยเฉพาะในมิติการเมือง ซึ่งแน่นอนว่ามันก็ทำให้เกิดอะไรขึ้นกับตัวผมเยอะแยะเช่นกัน แล้วก็ใช่ว่าจะรับมือกับทุกเรื่องได้ดี บางเรื่องที่มีโอกาสจะได้ทำ ก็ทำไม่ไหวซะอย่างนั้น คือมันเยอะจัด แทรกเข้ามา พุ่งเข้ามา

2554 นี่ หลัก ๆ ก็คงจะเน้นไปที่วิทยานิพนธ์ กับเรื่องเกี่ยวข้อง เช่น ข่าว การเปิดข้อมูลภาคสาธารณะ อะไรแบบนี้แหละ เอาให้มันจบ ๆ ซะที

สวัสดีปีใหม่ทุกคน (แฟนคลับด้วย :p)

technorati tags: , ,

2010-12-30

Thailand Open Data Catalog บัญชีข้อมูลเปิดของไทย

Open Data Thailand เป็นสมุดทะเบียนสำหรับชุดข้อมูลและเนื้อหาแบบเปิด เว็บไซต์นี้ทำงานด้วยซอฟต์แวร์ CKAN ซึ่งทำให้การค้นหา แบ่งปัน และใช้ข้อมูลซ้ำ ไปเป็นได้โดยง่าย โดยเฉพาะการทำงานเหล่านั้นด้วยวิธีการอัตโนมัติด้วยคอมพิวเตอร์

Open Data Thailand is an open registry of data and content packages. Harnessing the CKAN software, this site makes it easy to find, share and reuse content and data, especially in ways that are machine automatable.

ไอเดียของ Open Data Catalog คือ พยายามรวบรวมข้อมูลสาธารณะและข้อมูลภาครัฐ ที่เปิดเผยอยู่แล้วในอินเทอร์เน็ต แต่อาจจะกระจัดกระจายอยู่ หรืออยู่ในรูปแบบที่นำไปใช้ต่อไม่สะดวก มาจัดระบบระเบียบ ให้ค้นหาได้ง่าย เพื่อส่งเสริมการนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ต่อ เพื่อประโยชน์ของสาธารณะ และหวังผลในเชิงรณรงค์ให้สังคมเห็นความสำคัญของการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะในรูปแบบที่นำไปประมวลผลต่อได้โดยง่าย เพื่อกระตุ้นให้ภาครัฐเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ในรูปแบบที่เหมาะสมเองต่อไปในอนาคต ให้เป็นพันธกิจที่รัฐต้องมีต่อสาธารณะ

หลักการข้อมูลภาครัฐแบบเปิด (Open Government Data Principles)

ติดตามข่าว Open Data และ Data Journalism ได้จาก Guardian.co.uk Data Store

technorati tags: , ,

2010-12-28

สัมภาษณ์ @klaikong เรื่อง "ข้อมูลสาธารณะแบบเปิด" กับการพัฒนาเศรษฐกิจ-สังคม-การเมือง #opendata #opengov

Klaikong and Data visualization

ผมสัมภาษณ์ พี่แต๊ก ไกลก้อง ไวทยการ (@klaikong) เอาไว้เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 2553 ที่ผ่านมา ระหว่างเวิร์กช็อป “Open Data Hackathon” ที่ Opendream คุยกันเรื่องความเคลื่อนไหว “ข้อมูลภาครัฐแบบเปิด” หรือ “ข้อมูลสาธารณะแบบเปิด” (Open Government Data หรือ Open Public Data) กับความจำเป็นของสังคมไทยที่ภาครัฐจะต้องเปิดเผยข้อมูลให้สาธารณะเข้าถึงได้ เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถร่วมพัฒนาประเทศไปพร้อม ๆ กัน ด้วยการตัดสินใจบนข้อมูลที่รอบด้าน ในสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว วันนี้เพิ่งถอดเทปเสร็จ

มีคุยกันเรื่องรูปแบบข้อมูล รวมถึงความเป็นไปได้ในการจะออกกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง :

เรื่องมาตรฐานข้อมูลเนี่ย ประเทศเราทำไม่ได้จริงซะที คุยกันมานานแล้ว ว่าจะต้องมีระบบมาตรฐาน จะต้องมี standard อะไรต่าง ๆ XML ฯลฯ แต่ถึงทุกวันนี้ เท่าที่เห็น ร้อยละ 80 ข้อมูลก็ยังอยู่ในรูปแบบ PDF ซึ่งอันนี้มันสะท้อนเรื่องวิธีคิดว่า ข้อมูลนี้ก็ยังเป็นข้อมูลของหน่วยงานนั้นอยู่ ถ้าอยากได้ข้อมูลดิบ (raw data) เพื่อจะเอาไปใช้ก็ต้องขออนุญาตก่อน เพราะ PDF มันเอาไปใช้ทำอะไรต่อไม่ได้ ไฟล์ PDF มันสะท้อนความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของของข้อมูลอยู่

ถ้าเราพูดถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูล ตัว PDF ก็ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อจุดประสงค์นี้ ... มันไปจบแค่การเปิดเอกสารเพื่อดู ... ข้อมูลที่อิเล็กทรอนิกส์ที่จะแลกเปลี่ยนกันแล้วมีประโยชน์เอาไปใช้ต่อได้ มันต้อง “อ่านด้วยเครื่องได้” (machine readable)

สำหรับภาครัฐแล้ว เรามองอินเทอร์เน็ตเป็นสื่อ ดูได้จากการเอากฎหมายสื่อมาใช้กับอินเทอร์เน็ต พอมองเป็นสื่อนั่นแปลว่าการเปิดข้อมูลคือการเผยแพร่ แค่เผยแพร่ก็จบ ... มันไม่ใช่ มันต้องไม่จบแค่ขั้นการเผยแพร่

คุยกันเรื่องมิติทางการปกครอง การพัฒนาท้องถิ่น และเศรษฐกิจ ของข้อมูลสาธารณะแบบเปิด :

ถ้าเราคิดว่า ข้อมูลภาครัฐทั้งหมดนั้นมันสร้างขึ้นมาด้วยเงินภาษี ด้วยเงินของสาธารณะ ข้อมูลภาครัฐเหล่านี้ก็ควรจะเป็นข้อมูลสาธารณะ ซึ่งเมื่อคิดได้ดังนี้แล้ว ข้อหนึ่งก็คือ มันต้องเปิดให้สามารถเข้าถึงได้ สองคือ ต้องเปิดในลักษณะที่ทุกคนสามารถเอาข้อมูลนั้นไปใช้ต่อได้ โดยไม่มีข้อจำกัด

การรวบรวมข้อมูลยังไงมันก็เป็นแบบล่างขึ้นบน แต่ปรากฎว่าเมื่อข้อมูลมันไหลขึ้นไปสู่ข้างบนแล้ว มันไม่เคยไหลกลับมาสู่ข้างล่างเลย ... เวลาเราพูดถึงการกระจายอำนาจ สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งก็คือ ท้องถิ่นต้องมีชุดข้อมูลเพื่อให้ทำงานได้ ให้ตัดสินใจได้ แต่ที่ผ่านมาท้องถิ่นไม่เคยมีข้อมูลเลย แล้วก็เลยไม่มีทักษะในการใช้ข้อมูลไปด้วย ... ดังนั้น หนึ่งเลย ข้อมูลที่ท้องถิ่นส่งขึ้นไป ต้องถูกส่งกลับลงมาให้ท้องถิ่นใช้ด้วย

ทุกคนต้องใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ โครงการนี้จะดีหรือไม่ดีกับบ้านฉันไหมตัวฉันไหม ก็จะทำให้ไม่ถูกฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ไม่ว่าจะฝ่ายสนับสนุนหรือคัดค้าน ใช้การโน้มน้าวได้ ทุกคนมีข้อมูล และตัดสินใจบนข้อมูลเหล่านี้

เวลาเราบอกว่าเปิดให้ “ทุกคน” เข้าถึงได้ มันรวมถึงภาคธุรกิจด้วย ซึ่งถ้าภาคธุรกิจนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ แล้วมันสร้างความเจริญทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้ มันก็เหมาะสม ซึ่งตราบใดที่ข้อมูลเหล่านี้มันไม่กระทบต่อสิทธิส่วนบุคคลของประชาชนหรือเป็นภัยต่อความมั่นคง มันก็ควรจะต้องถูกเปิด

อ่านฉบับเต็มที่บล็อกโอเพ่นดรีม - ไกลก้อง ไวทยการ: "Open Data จะทำให้ประเทศเราวิ่งได้เร็วขึ้นอีกมาก"

ปี 2554 ที่จะถึงนี้ โอเพ่นดรีม, ChangeFusion, ธนาคารโลก สำนักงานกรุงเทพ และเพื่อน ๆ รวมถึงเครือข่ายพลเมืองเน็ต จะมีกิจกรรมเกี่ยวกับ Open Public Data ตลอดทั้งปี ตามความถนัดและจุดเน้นของแต่ละองค์กร ขอเชิญชวนทุกคนที่สนใจมาแจมกัน - ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ OpenData.in.th

technorati tags: , , , ,

2010-12-25

สื่อและขบวนการทางสังคมในมาเลเซีย: กรณีศึกษา หนังสือพิมพ์ Malaysiakini

รายงานจากวิชา ขบวนการทางสังคม เรียนเมื่อปีที่แล้ว

เทอมนั้นเป็นเทอมที่หนักที่สุด เพราะเทอมก่อนหน้านั้นเกรดห่วยจนติดโปร ก็เลยต้องลงทะเบียนเรียนมันซะ 4 วิชาเลย เพื่อดันเกรด แล้วต้องได้ทุกวิชา B+ อะไรแบบนี้ ถึงจะรอด สุดท้ายก็รอด แบบหืด ๆ (หลุดได้ B มาตัวนึง แต่รอดเพราะได้ A มาช่วยอีกตัว) เทอมนั้นเป็นเทอมที่สนุกดี ได้ไปลงสนามเล็ก ๆ น้อย ๆ (จากวิชานี้และอีกวิชาคือ วัฒนธรรมเมือง) ได้พบกับคนที่ต่อสู้มาทั้งชีวิต และบอกว่า เอ็นจีโอแค่สนับสนุนก็พอ ชาวบ้านจะนำเอง (แปลว่า เอ็นจีโออย่าเสือกเยอะ)

เลือกมาเลเชียกีนี เพราะว่ามันน่าสนใจดี ในฐานะที่ตัวมันเองก็เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงในสังคม ที่ต่อเนื่องมาจากขบวนการเคลื่อนไหว Reformasi (ปฏิรูป) คือไม่ต้องมาบอกว่าสื่อต้องเป็นกลาง สื่ออย่าเลือกข้าง มาเลเชียกีนีก็พูดตรงไปตรงมา ว่าเขา เลือกข้าง คืออยู่ข้างคนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ไม่ได้รับความยุติธรรมจากนโยบายของรัฐ แล้วก็ต้องการการเปลี่ยนแปลงการปฏิรูป แน่นอนว่าด้วยการวางตำแหน่งตัวเองแบบนี้ ก็ย่อมจะมีปัญหากับรัฐบาล กับกลุ่มที่จะเสียประโยชน์ แต่คนก็ให้ความเคารพมาเลเชียกีนีที่เขาเลือกจะ ไม่เป็นกลาง แบบนี้ ไม่ต้องมาแอ๊บ

กรณีมาเลเชียกีนี ทำให้เราเห็นว่า สื่อต้องมีพันธกิจ มีฟังก์ชั่น มี contribution อะไรกับสังคม กับสาธารณะ ไม่งั้นก็ไม่รู้ว่าจะมีสื่อไปทำไม และสาธารณะจะให้ สถานะพิเศษ กับสื่อไปทำไม

วิชานี้ได้อ่านงานสนุก ๆ เยอะดี โดยเฉพาะแนว cultural politics

btw ใครสนใจจะสมัคร ปริญญาโทและปริญญาเอก สังคมวิทยา มานุษยวิทยา ที่ท่าพระจันทร์ เขายังรับสมัครอยู่จนถึง 29 ธันวา นี้นะ

สื่อและขบวนการทางสังคมในมาเลเซีย: กรณีศึกษา หนังสือพิมพ์มาเลเซียกีนี

รายงานวิชา ขบวนการทางสังคม ภาคการศึกษา 1/2552 หลักสูตรสังคมวิทยาและมานุษยวิทยามหาบัณฑิต สาขาวิชามานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อาจารย์ผู้สอน: นลินี ตันธุวนิตย์) – 19 ต.ค. 2552 (ปรับปรุงเล็กน้อยเพื่อเผยแพร่ 25 ธ.ค. 2553)

technorati tags: , , , ,

2010-12-24

National School of Legal Technology

จากผนังห้องของ @theniw (23 ธ.ค. 2553)

ข่าววันนี้ :
ปปช. ยกคำร้องคดีภาณุพงษ์ซ้อมทรมานผู้ต้องหาปล้นปืน ,
ปปช. ยกคำร้องอภิสิทธิ์และกรณ์กรณีส่ง sms ,
ปปช. ยกคำร้องตั้งกษิตเป็นรมต.ทั้งที่มีความผิดเรื่องปิดสุวรรณภูมิ

ยกคำร้องเรื่องซ้อมทรมานผู้ต้องหาในความควบคุม เพราะหลักฐานที่พบมีเพียงภาพถ่ายรอยบาดแผลที่ระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ไม้ที่มีตะปูตีศีรษะและรอยแผลที่หัวคิ้ว แต่ไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นแผลที่เกิดขึ้นระหว่างควบคุมตัว ขณะที่เมื่อตรวจชันสูตรร่างกายแล้วไม่พบร่องรอย (ข่าวไม่ได้บอกว่าชันสูตรตรวจร่างกายวันไหน)

ยกคำร้องคดีเอสเอ็มเอส เพราะวันที่ส่งเอสเอ็มเอส อภิสิทธิ์กับกรณ์ยังไม่ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้า จึงไม่นับเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่ง

ยกคำร้องเรื่องตั้งกษิตเป็นรมต.ทั้งที่ยังมีเรื่องผิดสนามบินสุวรรณภูมิ เพราะ ไม่มีมูล

กราบฝ่ายเทคนิค ประเทศยกคำร้อง (อันปกครองด้วยพจนานุกรม)


technicality [ˌtɛknɪˈkælɪtɪ]
1. a petty formal point arising from a strict interpretation of rules, etc. the case was dismissed on a technicality
(Collins English Dictionary)

Noun 1. technicality - a detail that is considered insignificant
Synonyms: trifle, triviality
Related Words: detail, item, point - an isolated fact that is considered separately from the whole; several of the details are similar; a point of information
(WordNet 3.0)

technorati tags: , ,

2010-12-15

วารสารศาสตร์ข้อมูล: เราควรจะขอบคุณวิกิลีกส์ #wikileaks #opendata

ความน่าเชื่อถือของวิชาชีพนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ วิกิลีกส์ และ วารสารศาสตร์ข้อมูล

Roy Greenslade (twitter: @GreensladeR) เขียน ; อาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล (@bact) แปลและเรียบเรียง

(CNN) 30 ก.ค. 2553 – การโพสต์เอกสารเกี่ยวกับสงครามในอัฟกานิสถาน 92,000 ฉบับ บนวิกิลีกส์ (WikiLeaks) เป็นตัวแทนของการฉลองชัยของสิ่งที่ผมเรียกว่า “วารสารศาสตร์ข้อมูล” (data journalism)

แน่นอนว่ามันต้องมีแหล่งข่าวที่เป็นบุคคล ใครสักคนในที่ไหนสักแห่ง ส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ไปยังเว็บไซต์วิกิลีกส์ แต่ไม่ว่าผู้แจ้งความไม่ชอบมาพากลคนนี้จะเป็นใคร มันก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับว่า เนื้อหาของเอกสารเหล่านี้มันบอกอะไรกับเรา

ข้อมูลดิบดังกล่าว เป็นขุมทรัพย์ขนาดใหญ่สำหรับนักหนังสือพิมพ์ในสามสำนักข่าว – นิวยอร์กไทมส์ (New York Times สหรัฐอเมริกา), เดอะการ์เดียน (The Guardian สหราชอาณาจักร), และ แดร์สปีเกล (Der Spiegel เยอรมนี) – ที่จะขุดค้นหาข่าวจากมัน อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีเฉพาะนักข่าวเหล่านั้นเท่านั้น บันทึกประจำวันจากสงครามอัฟกานิสถานนั้นอยู่บนอินเทอร์เน็ต ที่ใครก็เข้าไปขุดค้นสมบัติหาข้อมูลได้

เรื่องเหล่านี้จริง ๆ แล้วไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร นักหนังสือพิมพ์ทำเรื่องเหล่านี้มานานแล้ว พวกเขาอ่านกองเอกสารทีละหน้าทีละหน้า เพื่อมองหาสิ่งผิดปกติ ข้อเท็จจริงเพียงหนึ่งหรือสองชิ้น ซึ่งจะนำไปสู่สกู๊ปสำคัญ

แต่ก็นั่นล่ะ เราต้องยอมรับว่า นักหนังสือพิมพ์ที่ทำงานดังที่กล่าวมา แทบจะไม่หลงเหลืออยู่แล้ว มันทั้งใช้เวลาและแรงงาน แล้วก็ไม่มีสีสันตื่นตาตื่นใจ มันไม่มีสเน่ห์ดึงดูด ด้วยแรงกดดันในองค์กรข่าวสมัยใหม่ ที่จำเป็นต้องทำงานให้มีประสิทธิภาพคุ้มราคา มันเป็นเรื่องยากที่บรรณาธิการข่าวจะอนุญาตให้นักข่าวใช้เวลามาก ๆ ไปกับกองเอกสารท่วมหัว

ความสำเร็จของ “วารสารศาสตร์ข้อมูล” หรือการทำข่าวจากข้อมูลดิบนั้นมักจะถูกลืม ตัวอย่างหนึ่งโดดเด่นก็คือ กรณีข่าวสืบสวนโดยหนังสือพิมพ์ซันเดย์ไทมส์ (Sunday Times) ที่ตามติดกรณียาระงับประสาทของบริษัทยาเยอรมันที่ถูกถอนออกจากตลาดในปี 1961 หลังจากพบว่ามีผลกระทบรุนแรงต่อทารก

ระหว่างการสืบสวนดังกล่าว ซันเดย์ไทมส์จ่ายเงินเพื่อซื้อเอกสารภายในจำนวนมากของบริษัทดังกล่าว และต้องแปลมันทั้งหมดเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่ง ฟิลลิป ไนท์ลีย์ (Phillip Knightley) หนึ่งในทีมข่าวกล่าวว่าพวกเขาใช้เวลาเกือบหนึ่งปี ทำงานอย่างหนัก เพื่อทำความเข้าใจเอกสารเหล่านั้น

ถึงในปี 1968 จะยังเป็นสมัยที่ซันเดย์ไทมส์มีกำลังคนพร้อมเพรียง และยินดีที่จะจัดสรรทรัพยากรให้กับทีมนักข่าวสืบสวน ไนท์ลีย์ก็ยังบอกกับเราว่า คนก็ยังสงสัยอยู่ดี ว่ามันจะคุ้มค่าหรือ ที่จะทำข่าวที่ต้องใช้ทั้งเงินและเวลายาวนานขนาดนี้

แม้ในที่สุดข่าวสืบสวนชิ้นนี้จะประสบความสำเร็จ และนำไปสู่การจ่ายเงินชดเชยที่ดีขึ้นแก่ผู้เสียหาย แต่ดูเหมือนว่า ความสงสัยต่อความคุ้มค่าในการลงทุนทำ “วารสารศาสตร์ข้อมูล” ก็ยังคงฝังแน่นอยู่ในองค์กรข่าวส่วนใหญ่ของสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะสำนักพิมพ์ที่กำลังจะตัดงบประมาณของกองบรรณาธิการ

แน่นอนว่า ข่าวสืบสวนคดีวอเตอร์เกต (Watergate) ในต้นทศวรรษ 1970 โดย Bob Woodward และ Carl Bernstein ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสกู๊ปข่าวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล นั้นมีความสำคัญ รายงานชิ้นดังกล่าวอาศัยแหล่งข่าวที่ปิดเป็นความลับ ที่รู้จักกันในชื่อ “Deep Throat” และตั้งแต่นั้นมา นักหนังสือพิมพ์ก็ตกเป็นทาสของแหล่งข่าวที่เปิดเผยไม่ได้เหล่านี้เสียเอง แต่ข่าวแบบนี้แหละที่มีสเน่ห์ดึงดูด

แหล่งข่าวที่เปิดเผยไม่ได้ ได้กลายเป็นวิถีชีวิตของวารสารศาสตร์สมัยใหม่ ผมเคยบอกกับนักศึกษาวารสารศาสตร์ของผมอย่างนั้นเสมอ ๆ แต่ตอนนี้ผมยอมรับแล้วว่า ผมให้ความสำคัญกับมันมากเกินไป จนให้ความสำคัญน้อยเกินไปกับการค้นหา อ่าน และวิเคราะห์ข้อมูลดิบ

ถ้าหนังสือพิมพ์นั้น เป็นร่างแรกของประวัติศาสตร์ อย่างที่เรานักหนังสือพิมพ์มักอ้างกัน เราก็ควรจะต้องทำงานให้ใกล้เคียงกับนักประวัติศาสตร์เสียหน่อย บรรดานักประวัติศาสตร์พยายามมองหาแหล่งข้อมูลชั้นต้น เพื่อที่จะสร้างความเข้าใจที่ดีขึ้นกับเหตุการณ์ในอดีต

สิ่งที่สำคัญมาก ๆ ของข้อมูลต่างๆ ในวิกิลีกส์นั้นคือ มันเป็นข้อมูลที่ทันสมัย มันทำให้นักหนังสือพิมพ์และสาธารณะเข้าใจชัดเจนขึ้น ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในอัฟกานิสถาน ในแง่นี้ ข้อมูลเหล่านี้ที่ทุกคนเข้าไปอ่านได้ ช่วยมอบความเข้าใจที่มีค่ามหาศาลให้กับเรา

อย่างไรก็ตาม การโพสต์เอกสารขึ้นอินเทอร์เน็ตโดยตัวมันเองไม่ใช่การทำข่าว มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการข่าว มันยังต้องการการวิเคราะห์ วางบริบท และในบางกรณี การเซ็นเซอร์ที่จำเป็นเพื่อที่จะปกป้องปัจเจกบุคคลที่ถูกระบุในเอกสารดังกล่าว

ผมทราบว่า นักข่าวอาชีพไม่ได้เป็นคนเพียงกลุ่มเดียวที่สามารถทำงานนี้ได้ แต่พวกเขาส่วนใหญ่ มีทักษะที่จำเป็นต่าง ๆ ดังกล่าว และมีความรู้ที่จะทำให้พวกเขาทำงานดังกล่าวได้ดี การรายงานโดย เดอะการ์เดียน และ นิวยอร์กไทมส์ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน

มันอาจจะไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรโดยทันที ไม่มีประธานาธิบดีต้องออกจากตำแหน่ง เหมือนกรณีวอเตอร์เกต แต่สิ่งที่ถูกทำให้ปรากฏจากเอกสาร คือการยืนยันสิ่งที่สื่อในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาสงสัยมาโดยตลอด เกี่ยวกับสถานการณ์ในอัฟกานิสถาน ว่ามันเลวร้ายและมีแต่จะแย่ลง ๆ นับตั้งแต่ปี 2004 มันตบหน้ารายงานประเมินอย่างเป็นทางการที่แสนสวยงาม

ข้อมูลดิบทั้งหมดดังกล่าวมานั้น เชื่อถือได้มากกว่า เพราะมันเป็นรายงานโดยทหารในสนามรบจริง ๆ ว่าพวกเขาพบเห็นและประสบอะไรบ้าง มันไม่มีการปั่นข่าว ตัวรายงานนั้นอาจไม่ได้เป็นวัตถุวิสัย – ซึ่งก็ไม่เคยมีอะไรที่เป็นเช่นนั้น – แต่รายงานเหล่านี้ก็ไม่ได้ถูกเขียนขึ้นเพื่อจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจทางการเมือง

ใช่ เราอาจพูดได้ว่า การที่วิกิลีกส์โพสต์ข้อมูลอ่อนไหวดังกล่าวในพื้นที่สาธารณะ ในตัวมันเองนั้นก็ไม่ได้เป็นวัตถุวิสัยอยู่แล้ว แต่ผมขอสนับสนุนสิ่งที่ จูเลียน อัสซานจ์ (Julian Assange) หัวหน้าบรรณาธิการของวิกิลีกส์ เรียกร้องต่อองค์กรข่าวต่าง ๆ ให้เปิดเผยข้อมูลดิบออกสู่สาธารณะให้มากขึ้น

เขาเชื่อว่าการกระทำดังกล่าว จะทำให้กิจกรรมของงานข่าวโปร่งใสมากขึ้น ในการสัมภาษณ์เมื่อไม่นานนี้ เขายืนกรานว่า “วารสารศาสตร์ควรจะเป็นเหมือนวิทยาศาสตร์มากขึ้น” และเสริมว่า: “มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ข้อเท็จจริงต่าง ๆ จะต้องถูกตรวจสอบยืนยันได้ ถ้านักหนังสือพิมพ์ต้องการที่จะให้วิชาชีพของพวกเขามีความน่าเชื่อถือไว้วางใจได้มากขึ้น พวกเขาจำเป็นต้องเดินไปในทิศทางนั้น เคารพคนอ่านให้มากขึ้น”

โดยธรรมชาติของตัวมันเอง การทำข่าวจากแหล่งข่าวบุคคล (source journalism) ย่อมถูกปิดบังไม่ให้สาธารณะได้เห็น การทำข่าวจากข้อมูลดิบ (data journalism) นั้นเปิดเผยมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลดิบนั้นถูกโพสต์ขึ้นอินเทอร์เน็ต เพราะในกรณีที่มีการวิเคราห์ข้อมูลชุดเดียวกันในแนวทางที่ต่างกัน ข้อมูลดิบเหล่านั้นมันอนุญาตให้สาธารณะตัดสินได้ว่าการวิเคราะห์อันไหนที่น่าเชื่อถือกว่า

เรานักหนังสือพิมพ์ ควรจะต้องดีใจที่มีเว็บไซต์อย่างวิกิลีกส์อยู่ นั่นเพราะไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของเราก็คือการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะ ที่คนที่มีความเชื่อเป็นอย่างอื่นต้องการจะเก็บมันเป็นความลับ

เว็บไซต์ดังกล่าวสมควรจะได้รับการสรรเสริญชื่นชมจากพวกเรา และมันจำเป็นจะต้องได้รับการปกป้องจากการคุกคามของพลังฝ่ายขวา ที่หาทางจะหลีกเลี่ยงจากการถูกเปิดโปง


Roy Greenslade เป็นศาสตราจารย์ด้านวารสารศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยซิตี้ยูนิเวอร์ซิตี้ ลอนดอน เขาเขียนบล็อกรายวันเกี่ยวกับสื่อให้กับเว็บไซต์ The Guardian และเขียนคอลัมน์รายสัปดาห์ในหนังสือพิมพ์ London Evening Standard เขาเป็นนักวิจารณ์สื่อมา 18 ปี โดยก่อนหน้านั้นเขาเป็นบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ Daily Mirror ของสหราชอาณาจักร บรรณาธิการบริหารของ Sunday Times และผู้ช่วยบรรณาธิการของ The Sun

เรียบเรียงจาก “We should be thankful for WikiLeaks” โดย Roy Greenslade ตีพิมพ์ในเว็บไซต์ CNN.com 30 ก.ค. 2553 (ลิงก์ต่าง ๆ ที่แทรกในเอกสารนี้โดยผู้แปลเอง)

* ดาวน์โหลดบทความนี้ ในรูปแบบ PDF (Scribd)

บทความที่เกี่ยวข้อง: มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ : โลกอนาคตที่ไม่มีการผูกขาดความจริง

เข้าถึงเนื้อหาของ WikiLeaks จากเมืองไทย ได้ที่เว็บไซต์ ThaiLeaks.info
โดยทุกคนสามารถดาวน์โหลดเนื้อหาทั้งหมดของวิกิลีกส์ได้ทาง torrent

technorati tags: , , , , , ,