ช่วงนี้ หวัด 2009 ระบาด รักษาสุขภาพด้วย หลีกเลี่ยงการเอามือมาสัมผัส ตา จมูก ปาก (ทีโซน T-zone) — ลดเสี่ยงทั้งหวัด ทั้งสิว
สิ่งที่งานสาธารณสุขห่วงตอนนี้ ไม่ใช่ว่ากลัวมันระบาด มันระบาดไปแล้ว ไม่ต้องกลัว ที่กลัวคือกลัวคนเป็นพร้อม ๆ กันเยอะ ๆ แล้วไปโรงพยาบาลพร้อม ๆ กันคราวเดียว โรงพยาบาลจะรับไม่ไหว คนป่วยโรคอื่น ๆ ก็กระทบไปด้วย เจ้าหน้าที่และทรัพยากรไม่เพียงพอที่จะรับ peak แบบนั้น แต่ถ้าชะลอการติดเชื้อออกไปได้ ให้มันเกลี่ย ๆ ไม่เป็นพร้อม ๆ กันหมด ระบบสาธารณสุขก็จะรับมือไหว
มีอาการ คิดว่าเป็นหวัด หยุดอยู่บ้านเลย ไม่ต้องใส่หน้ากากออกมาเพ่นพ่าน
รับข่าวสารได้ทางทวิตเตอร์ @flu2009th และเว็บไซต์ www.flu2009thailand.com
...
มีโอกาสไปได้ยินผู้บริหารระดับสูงขององค์การที่เกี่ยวข้องกับสุขภาวะ แสดงความห่วงใยเรื่องดังกล่าว ขอความร่วมมือให้ช่วยกัน ... ก็น่ายินดี มีอะไรช่วยเหลือได้ก็แน่นอน จะทำเต็มที่
อย่างไรก็ตาม ก็ติดขัด ติดหู ติดใจอยู่นิดหน่อย เรื่อง การยกตัวอย่าง
เขาพูดถึงเรื่องการแพร่กระจายของเชื้อหวัด อายุของเชื้อที่ติดอยู่กับพื้นผิวต่าง ๆ หลังการไอจามหรือสัมผัส ซึ่งก็จะมีอายุ 2-8 ชั่วโมง ต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม ถ้ามีแสงสว่าง อากาศถ่ายเท เชื้อก็อยู่ได้สั้นหน่อย 2 ชั่วโมง (ซึ่งก็ยังทำให้แพร่กระจายได้มากอยู่ดี)
เขายกตัวอย่าง สถานที่มืดและชื้น เช่น ผับ
บาร์
... โดยไม่ได้พูดถึง โรงหนัง
ที่ก็มืด วัด
ที่โบสถ์หลายแห่งก็ทั้งมืดทั้งชื้น (ภาพจิตรกรรมฝาผนังในวัดหลายแห่ง เสียหายจากความชื้น)
เขายังยกตัวอย่าง การติดเชื้อจากการสัมผัส (แล้วมือที่สัมผัสไปโดนตาจมูกปากต่อ) เช่นผ่านคียบอร์ด และยกตัวอย่าง ร้านเน็ต
... โดยไม่ได้พูดถึง โรงเรียน
ออฟฟิศ
ฯลฯ
ในวงเดียวกัน มีหัวหน้าห้องคนทำเว็บ ยกตัวอย่างสถานที่แออัดซึ่งก็มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น ม็อบ
ที่ชุมนุม
... โดยไม่ได้พูดถึง ห้างสรรพสินค้า
ตลาด
.. วัด
(ทำบุญ 9 วัดนี่แหละ ทั้งแออัด ทั้งชื้น ทั้งเพลียร่างกายอ่อนแอ) ฯลฯ
พวกเขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้รู้สึกอะไร
ผมก็เพียงว่างไปหน่อย ดันรู้สึก อยากจะทักท้วงหน่อย เพราะรู้สึกว่ามันเป็นการยกตัวอย่างที่ไม่แฟร์เท่าไหร่
อาจจะใช่ว่า ผับ บาร์ ม็อบ หรืออะไรต่าง ๆ มันดู อันตราย
ไม่จรรโลงศีลธรรมอันดีงามที่คนจำนวนหนึ่งยึดถือ ... แต่ในบริบทของการ เฝ้าระวัง/ป้องกันโรค
ผมว่ามันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับสถานที่อื่น ๆ สถานที่ชุมชนคนพลุกพล่าน มันก็เสี่ยงพอ ๆ กันทั้งนั้น ไม่ได้มีอะไรมากน้อยกว่ากันเสียเท่าไหร่
การยกตัวอย่าง จึงควรจะเป็นไปอย่างเป็นธรรม เอากันอย่างแฟร์ ๆ หน่อย โดยเฉพาะถ้าการยกตัวอย่างนั้น จะเผยแพร่ออกสื่อสารมวลชน ออกพิมพ์โฆษณาเป็นจำนวนมาก
การยกตัวอย่างแบบเอียง ๆ นอกจากจะไม่แฟร์กับผู้ประกอบการจำนวนหนึ่ง ด้วยการตอกย้ำอุดมการณ์ตอกย้ำภาพเอียง ๆ จนภาพของสถานที่เหล่านั้นกลายเป็นสถานที่อันตรายไม่ควรข้องแวะ แล้ว ยังเป็นอันตรายกับประชาชนโดยทั่วไปอีกด้วย เพราะอาจทำให้เข้าใจผิดได้ว่า สถานที่ประเภทอื่น ๆ (ที่ไม่ใช่สถานที่ อโคจร
) ที่ไม่ได้ยกตัวอย่างถึงนั้น ปลอดภัย
ทั้งจะกลายเป็นว่า ยกเอา หวัด 2009 มาเนียน ขู่ไม่ให้คนไปม็อบ ขู่ไม่ให้คนเที่ยวผับ
ซึ่งคงไม่ใช่อย่างที่พวกเขาตั้งใจ
ก็นำมาบันทึกเอาไว้ เล่าสู่กันฟังเพียงเท่านี้ว่า เวลายกตัวอย่างอะไร พวกเราน่าจะระมัดระวังด้วย ไม่สร้างภาพ วาดอคติ ป้ายสี ให้กับสิ่งใดกลุ่มใด จากการยกตัวอย่างของเรา
ไม่ต้องมีเรา ก็มีคนเยอะแยะวาดกันจนเปรอะไปหมดแล้วครับ ไม่ต้องห่วง
technorati tags: bias examples, bias, language
5 comments:
มันง่ายไงพี่ ไม่ต้องคิดอะไรมาก
นี่ล่ะ "การเมือง" ตามทักษะนักกฎหมาย
วิจารณ์ได้ดี เห็นภาพชัดเจน
แต่ถ้าถามว่าแปลกไหมที่จะมีการยกตัวอย่าง เป็นผับ บาร์ หรือร้านอินเตอร์เน็ต คำตอบคือสิ่งที่ใครก็รู้ เหตุผลเพราะสถานที่เหล่านี้ถูกมองในด้านลบเสมอ
แม้จะรู้ว่าวัดแออัดแต่ใครเลยจะกล้านำเสนอ เหตุเพราะเดี๋ยวคนอ้างไม่เข้าวัด เพราะบอกว่าเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรค อาจจะยิ่งแย่กันไปใหญ่เพราะปัจจุบันที่ไปวัด ไปโบลถ์ก็น้อยเต็มที
เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกใจกับตัวอย่างเหล่านี้ แต่ก็ขอบคุณสหรับตัวอย่างที่แลกเปลี่ยนได้ชัดเจนจนต้องยิ้ม
จริงๆ ก็คือ นึกขึ้นมาได้แค่นั้น เป็นส่วนของความจำที่มันฝังแน่นกว่า ส่วนอื่น
แต่ผู้รับสารส่วนใหญ่ ก็น่าจะเข้าใจเจตนาว่าผู้ส่งสารต้องการบอกว่า สถานที่อโคจร นั้น ไม่ควรไป, เพราะ นอกจากจะ อโคจร แล้ว, ยังแพร่หวัดอีกด้วย, ส่วนสถานที่อื่นๆ เช่น วัด นั้น, ก็ไม่ถึงกับต้องเลิกไป, แต่ให้ระวังๆ หน่อย.
เขาอาจไม่ได้แกล้งทำเนียน ก็ได้, เขาอาจจงใจสื่ออย่างนั้นจริงๆ ก็ได้.
ถ้าเขาพูดออกมาตรงๆ แบบข้างบนนั้น ถือว่าโอเค ไหม?
Post a Comment