“หากพูดแบบตัดทอนเงื่อนไขความเป็นจริงออกไป ให้เหลือแค่สิ่งที่ควรจะเป็นเท่านั้นละก็ ขณะที่การปาเป้า คือการหมิ่นประมาท ไม่สุภาพ และอาจจะผิดกฎหมายได้ การเอารถถังของประชาชนออกมายึดอำนาจจากประชาชนกลับได้รับการปรบมือและถูกกฎหมาย นี่มันคือความยุติธรรมชนิดไหนกัน”
31 ส.ค. 2550 – ศาลอาญาอนุมัติฝากขัง นายสมบัติ บุญงามอนงค์ (หนูหริ่ง บก.ลายจุด) แกนนำกลุ่มพลเมืองภิวัฒน์ 12 วัน ตามคำขอของเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำตัวนายสมบัติไปฝากขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในช่วงค่ำ
นายสมบัติกล่าวถึง สาเหตุที่ไม่ยอมประกันตัว เพราะเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพ
โดยในทัศนะของคนที่ฟ้อง (พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร) เห็นว่าความผิดของเขาต้องถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพทางกายภาพ
ในขณะที่บ้านเมืองก็มีการจำกัดสิทธิทางการเมือง ดังนั้นอยู่ที่ไหนก็ไม่มีเสรีภาพ
นายสมบัติกล่าวด้วยว่า การที่ผู้ฟ้องแจ้งข้อกล่าวหาหมิ่นประมาท ก็เพื่อเรียกร้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้แจ้งข้อกล่าวหา
แต่ประชาชน 35 จังหวัดถูกปกครองด้วยกฎอัยการศึก พวกเขาก็ถูกละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน
นายสมบัติกล่าวต่อไปว่า หลังจากต่อสู้มาตลอด 11 เดือน เขาได้ทำดีที่สุดแล้ว และคิดว่านี่คือวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งที่เหลืออยู่
นายสมบัติยังกล่าวกับประชาชนที่มาให้กำลังใจที่ศาลอาญาว่า ขอให้คนที่สนับสนุนเขาใส่เสื้อแดงในวันอาทิตย์ เพื่อรณรงค์ให้ยกเลิกกฎอัยการศึก จนกว่าจะถึงวันเลือกตั้งต่อไป
ด้านล่างนี้ คือจดหมายเปิดผนึกจากนายสมบัติ บุญงามอนงค์ ถึง “พลโทสพรั่ง กัลยาณมิตร”
จดหมายเปิดผนึกถึง พลโทสพรั่ง กัลยาณมิตร
สวัสดีครับท่านแม่ทัพภาคที่ 3 พลโทสพรั่ง กัลยาณมิตร ที่กล่าวถึงยศทางการทหารของท่านเป็นพลโทนั้น เหตุเพราะว่า นั่นคือตำแหน่งที่แท้จริงของท่าน ซึ่งได้มาจากการรับใช้ชาติในฐานะชายชาติทหาร ส่วนยศพลเอก และ ตำแหน่งผู้ช่วย ผบ. ทบ. นั้น ผมเห็นว่าท่านได้มาโดยมิชอบ โดยใช้ตำแหน่งหน้าที่ ดำเนินการอันมิควร และภายหลังการกระทำอันเป็นการละเมิดต่อรัฐธรรมนูญ ท่านกลับได้ความดีความชอบยกฐานะจาก พลโท เป็น พลเอก แทบจะทันที และยังได้รับตำแหน่งเป็นผู้ช่วย ผบ. ทบ. ซึ่งเกียรติยศที่ท่านได้รับภายหลังการทำรัฐประหารนั้น เป็นสิ่งที่ท่านมิควรได้รับ ผมจึงขอเอ่ยยศของท่านเพียง พลโท ซึ่งเป็นสถานะที่ท่านจะได้รับเกียรติจากผมและคนไทยทั้งชาติได้สูงสุดเท่านั้น
นับว่าเป็นเกียรติที่ท่านได้เปิดโอกาสให้ประชาชนอย่างผมได้มีโอกาสเป็นคู่กรณี กับท่านในฐานะจำเลยที่หมิ่นประมาทท่านนายพล วีรบุรุษแห่งยุคสมัย ผมจะไม่หลบเลี่ยงที่จะได้เผชิญหน้ากับท่านในคดีความครั้งนี้ เอาถึงที่สุดผมจะเป็นทนายให้กับตนเองในการต่อสู้คดีบนชั้นศาล เพราะผมมีเรื่องจะซักถามท่านหลายประการ และผมเสียดายโอกาสหากไม่ได้ซักถามกับท่านด้วยตัวผมเอง
ผมอยากถามท่านว่า การกระทำของผม หมิ่นประมาทต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของท่านอย่างไร ? (ซุ้ม ปาเป้า) ท่านทราบหรือไม่ว่า เหตุใดจึงมีประชาชนอย่างผมกระทำการดังกล่าวอันอาจเป็นการหมิ่นศักดิ์ศรี และ เกียรติยศของท่าน การแสดงออกถึงความไม่พอใจต่อท่านอันเนื่องมาจากการที่ท่านและพวกพ้องทำการ ปล้นอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยเป็นสิ่งที่ควรได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ใช่หรือไม่ แล้วประชาชนที่ไม่พอใจการกระทำของท่านเขายังมีสิทธิอะไรในการแสดงออกถึงความ โกรธแค้นที่มีอยู่เต็มอกของพวกเรา ในเมื่อเราไม่มีอำนาจรัฐ เราไม่มีรถถัง เราไม่มีกำลังพล ไม่มีรุ่น แต่ประชาชนแสดงออกถึงความไม่พอใจไม่ได้ เว้นเสียแต่จะไปยื่นดอกไม้ข้างรถถังอย่างนั้นหรือ ?
หากท่านรักและหวงแหนในศักดิ์ศรี ผมขอเรียกร้องให้ท่านเคารพในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของคนไทยทั้งชาติ ด้วยเช่นกัน ท่านจะยอมรับความเสมอกันทางกฎหมาย ท่านจะยอมรับอำนาจอธิปไตยว่าเป็นของประชาชน ที่เขามีสิทธิที่จะเลือกผู้บริหารประเทศ และ ผู้แทนเพื่อเข้าไปทำหน้าที่ในรัฐสภา ทหารจะยุติการแทรกแซงฝ่ายตำรวจ และ ฝ่ายปกครอง และ เลิกคุกคามประชาชนที่มีความคิดเห็นแตกต่างทางการเมืองได้หรือไม่ ?
ศักดิ์ศรีของท่านและผมเสมอกันได้ ต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญที่ชอบธรรม
ผมถูกลูกน้องท่านจับที่เชียงราย โดยใช้อำนาจตามกฎอัยการศึก เพราะผมขึ้นบนหลังคารถแล้วปราศรัยวิพากษ์วิจารณ์การรัฐประหาร คมช. และ ร่างรัฐธรรมนูญ ในขณะที่ประชาชนกำลังจะต้องลงประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญ ลูกน้องของท่านที่ถูกส่งตรงมาจากกองทัพภาคที่ 3 บอกกับผมว่า เขาจะกระทำกับผมในฐานะที่ผมเป็นศัตรูของชาติ และจะใช้อำนาจทางกฎหมายดำเนินการกับผมในระดับรุนแรงที่สุดเท่าที่กฎหมายจะ เปิดช่องทางไว้ให้ และจะสอบสวนผมย้อนหลังไปตั้งแต่ผมเกิด หรือ แม้กระทั่งโคตรเหง้าของผม ซึ่งผมทราบว่าท่านพลโท สพรั่ง ทราบเรื่องนี้ดีตั้งแต่ต้นนับตั้งแต่จับกุมตัวผมครั้งก่อน
ท่านทราบหรือไม่ว่า ผู้อำนวยการกองข่าว กองทัพภาคที่ 3 ได้ให้ความกรุณากับผมอย่างไร ท่าน ผอ. กองข่าวกล่าวกับผมว่า หากท่านจะกลั่นแกล้งผมนั้นง่ายมาก เพียงแค่นำวัตถุผิดกฎหมายมาไว้ในตัวผม เช่น ยาเสพติด ฯ ขณะที่ควบคุมตัวในค่ายทหาร ผมก็ติดคุกหัวโตแล้ว แต่เขาไม่อยากทำ จริง ๆ แล้วผมสับสนอยู่เหมือนกันว่า ผมจะเรียกการกระทำนั้นว่า ความกรุณาได้หรือเปล่า เหมือนกับที่ท่านพลโทสพรั่ง ให้สัมภาษณ์เรื่อง ยกเว้นโทษตายให้กับคนหลายคนแล้ว ส่วนเรื่องปืนกลยิงหมาที่สนามหลวงนั้น ผมในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่ใช้ชีวิตหลายเดือนที่ผ่านมาอยู่แถวสนามหลวง ผมบอกได้เลยว่า “ท่านลุแก่อำนาจ”
ระหว่างประชาชนที่ถูกอำนาจรัฐกระทำ กับ ผู้ปกครองที่ลุแก่อำนาจ ใครคือคนที่จะนิยามคำว่า “ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์” และหากเราต่างก็นิยามไปในทิศทางของตนเอง นิยามของทั้งสองฝ่ายจะเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
สุดท้ายนี้ ผมขอประกาศต่อท่านว่า ผมจะขอขัดขืนต่ออำนาจรัฐซึ่งได้มาโดยไม่ชอบ โดยเฉพาะ คณะทหารการเมือง คมช. ผมจะขัดขวางการสืบทอดอำนาจของ คมช. และ ขัดขืนต่อกฎอัยการศึกที่มีการประกาศใช้หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เพื่อยืนยันศักดิ์ศรีแห่งพลเมืองไทย ซึ่งจะต้องอยู่เหนือความมั่นคงของ คมช. (ไม่ใช่ความมั่นคงแห่งชาติ) และกรุณาอย่าถอนฟ้องผมในคดีนี้ เพราะนี่เป็นโอกาสที่เราทั้งสองจะได้พบกันที่ศาล
ยึดมั่นระบอบประชาธิปไตย
สมบัติ บุญงามอนงค์
กลุ่มพลเมืองภิวัฒน์
31 สิงหาคม พ.ศ. 2550
[ ผ่าน ประชาไท, สำนักข่าวชาวบ้าน ]
technorati tags: coup, Thailand, martial law
3 comments:
เฮ้อ! นี่มันอะไรกันเนี่ยแก
ปล.วันนี้เจอพี่เบสด้วย ทำงานที่เดียวกันเลย
จากประสบการณ์ที่ได้สัมผัสการทำงานแบบ NGO ของนายคนนี้แล้ว ไม่ค่อยเชื่อว่าจะทำเพื่อประชาธิปไตยโดยบริสุทธิ์ หรือตั้งใจอย่างแท้จริงที่จะทำให้ประเทศชาติดีขึ้นโดยไม่มีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง
Anonymous: ผมก็ไม่รู้ว่าคุณสมบัติเขาเป็นยังไงนะครับ
แต่ถ้าถามว่า ดูจากเฉพาะกรณีนี้แล้วเป็นยังไง โดยไม่ต้องดูตัวบุคคลเลย ไม่ว่าจะคุณสพรั่ง คุณสนธิ หรือคุณสมบัติ เอาเป็นว่า นาย ก (ที่ทำรัฐประหาร) ฟ้อง นาย ข (ที่จัดปาเป้า)
ผมก็ว่า มันก็ตามที่คอลัมน์ "ใต้เท้าขอรับ" เขาว่าน่ะครับ
“หากพูดแบบตัดทอนเงื่อนไขความเป็นจริงออกไป ให้เหลือแค่สิ่งที่ควรจะเป็นเท่านั้นละก็ ขณะที่การปาเป้า คือการหมิ่นประมาท ไม่สุภาพ และอาจจะผิดกฎหมายได้ การเอารถถังของประชาชนออกมายึดอำนาจจากประชาชนกลับได้รับการปรบมือและถูก กฎหมาย นี่มันคือความยุติธรรมชนิดไหนกัน”
Post a Comment